แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 พระราชบัญญัติจราจรทางบกโดยบรรยายฟ้องว่า ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บถึงทุพพลภาพและป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่า 20 วัน หรือประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า 20 วัน แม้โจทก์จะยื่นฟ้องจำเลยภายหลังวันเกิดเหตุเพียง 13 วัน เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลย่อมมีอำนาจที่จะรับฟังข้อเท็จจริงตามฟ้องแล้วพิพากษาคดีโดยไม่สืบพยานได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยขับรถยนต์ด้วยความประมาทชนนายประมวลได้รับบาดเจ็บสาหัส ต้องทุพพลภาพหรือป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่า ๒๐ วัน และประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า ๒๐ วัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๐๐ พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๓ (๔), ๑๕๗
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บถึงทุพพลภาพและป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่า ๒๐ วัน หรือประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า ๒๐ วัน แต่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยหลังวันเกิดเหตุเพียง ๑๓ วัน ข้อเท็จจริงย่อมยังฟังไม่ได้ว่าระยะเวลาที่ผู้เสียหายป่วยเจ็บจะเกินกว่า ๒๐ วันนั้น ข้อหาในความผิดซึ่งจำเลยรับสารภาพ คือ ข้อหาฐานขับรถโดยประมาท และข้อหาฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส ซึ่งข้อหาดังกล่าวกฎหมายมิได้กำหนดอัตราโทษอย่างต่ำไว้ให้จำคุกห้าปีขึ้นไป หรือโทษสถานที่หนักกว่านั้น เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลจึงมีอำนาจที่จะรับฟังข้อเท็จจริงตามฟ้องแล้วพิพากษาโดยไม่สืบพยานได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๗๖ วรรคแรก
พิพากษายืน