แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 20,000 บาทและลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 แต่ละกระทงไม่เกิน 1 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสองฎีกาขอให้ลดค่าปรับให้แก่จำเลยที่ 1 และลงโทษจำเลยที่ 2 ในสถานเบาและรอการลงโทษจำเลยที่ 2 ไว้ด้วยนั้น เป็นการฎีกาเกี่ยวกับดุลพินิจในการกำหนดโทษของศาล ซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
จำเลยออกเช็คพิพาทรวม 4 ฉบับ เพื่อชำระหนี้ให้แก่โจทก์ในวันเดียวกันและสั่งจ่ายเงินวันเดียวกัน ธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินไปในวันเดียวกันทั้งหมดทุกฉบับ แต่การออกเช็คดังกล่าวเป็นการสั่งให้ธนาคารจ่ายเงินตามจำนวนและวันที่ที่ปรากฏในเช็ค ซึ่งผู้ออกเช็คอาจมีเงินจ่ายตามเช็คหรือมีเจตนาให้ใช้เงินตามเช็คแต่ละฉบับหรือไม่แตกต่างแยกจากกันได้ การที่จำเลยทั้งสองออกเช็คหลายฉบับ และธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินดังกล่าวจึงเป็นการกระทำผิดหลายกรรมต่างกัน ศาลต้องลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 31/2518)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จำเลยที่ ๒ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ ๑ จำเลยทั้งสองได้บังอาจกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างวาระ กล่าวคือ จำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ได้ร่วมกันสั่งจ่ายเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด จำนวน ๔ ฉบับ ให้แก่โจทก์เพื่อเป็นการชำระหนี้ซึ่งจำเลยแลกเงินไปจากโจทก์ สั่งจ่ายเงินวันเดียวกัน เมื่อเช็คทั้ง ๔ ฉบับ ดังกล่าวถึงกำหนด โจทก์ได้นำไปเข้าบัญชีของโจทก์เพื่อเรียกเก็บเงิน ผลปรากฏว่าธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินทั้ง ๔ ฉบับในวันเดียวกัน การกระทำของจำเลยดังกล่าว ถือว่าจำเลยทั้งสองมีเจตนาทุจริต ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๓ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๙๑
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีมีมูล จึงประทับฟ้องไว้พิจารณา
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๓ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๙๑ ให้ปรับจำเลยที่ ๑ ตามเช็ค ๔ ฉบับ รวมเป็นเงิน ๔๐,๐๐๐ บาท และจำคุกจำเลยที่ ๒ ตามเช็ค ๒ ฉบับแรกมีกำหนดฉบับละ ๖ เดือน และฉบับที่ ๓ มีกำหนด ๘ เดือน ฉบับที่ ๔ มีกำหนด ๑ ปี รวมเป็นจำคุกจำเลยที่ ๒ มีกำหนด ๒ ปี ๘ เดือน รับสารภาพลดโทษกึ่งหนึ่งคงปรับจำเลยที่ ๑ เป็นเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท จำคุกจำเลยที่ ๒ มีกำหนด ๑ ปี ๔ เดือน
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปรากฏว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษปรับจำเลยที่ ๑ เป็นเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท และลงโทษจำคุกจำเลยที่ ๒ แต่ละกระทงไม่เกิน ๕ ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ฉะนั้น ที่จำเลยทั้งสองฎีกาขอให้ลดค่าปรับให้แก่จำเลยที่ ๑และลงโทษจำเลยที่ ๒ ในสถานเบาและรอการลงโทษจำเลยที่ ๒ ไว้ด้วยนั้น จึงเป็นการฎีกาเกี่ยวกับดุลพินิจในการกำหนดโทษของศาลซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้จำเลยทั้งสองฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๘ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า การกระทำผิดของจำเลยทั้งสองเป็นเพียงกรรมเดียว ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองตามเช็คทั้ง ๔ ฉบับ โดยถือว่าเป็นการกระทำต่างกรรม ต่างกระทงความผิดนั้นจึงมิชอบ ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่าแม้ข้อเท็จจริงจะฟังเป็นยุติว่า จำเลยได้ออกเช็คพิพาทตามฟ้องรวม ๔ ฉบับเพื่อชำระหนี้ให้แก่โจทก์ในวันเดียวกัน และสั่งจ่ายเงินวันเดียวกัน ธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินไปในวันเดียวกันทั้งหมดทุกฉบับก็ตาม แต่การออกเช็คพิพาทดังกล่าว เป็นการสั่งให้ธนาคารจ่ายเงินตามจำนวนและวันที่ที่ปรากฏในเช็ค ซึ่งจำเลยผู้ออกเช็คอาจมีเงินจ่ายตามเช็คหรือมีเจตนาให้ใช้เงินตามเช็คแต่ละฉบับหรือไม่แตกต่างแยกจากกันได้ การที่จำเลยทั้งสองออกเช็คหลายฉบับ และธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินดังกล่าวแล้วจึงเป็นการกระทำผิดหลายกรรมต่างกัน ศาลต้องลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ เทียบตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๓๑/๒๕๑๘ คดีระหว่างพนักงานอัยการจังหวัดจันทบุรี โจทก์ นายสมศักดิ์ กาญจนสะอาด จำเลย
พิพากษายืน