คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3239/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พยานโจทก์ปากหนึ่งเบิกความถึงวันเกิดเหตุแตกต่างไปจากคำเบิกความของพยานโจทก์อีกสองปากที่เบิกความถึงวันเกิดเหตุตรงตามฟ้อง ซึ่งน่าเชื่อว่าเป็นกรณีที่พยานโจทก์ปากนั้นจำวันเกิดเหตุคลาดเคลื่อนไป เมื่อศาลใช้ดุลพินิจวินิจฉัยคำพยานดังกล่าวประกอบพยานหลักฐานอื่นฟังข้อเท็จจริงว่าวันเวลาเกิดเหตุตรงตามที่โจทก์บรรยายในคำฟ้องจึงถือไม่ได้ว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้อง
การที่จำเลยขัดขวางเจ้าพนักงานตำรวจในการเข้าจับกุม ก. ในข้อหาเล่นการพนัน ซึ่งเป็นการปฏิบัติการตามหน้าที่ โดยไม่ปรากฏว่าการเข้าจับกุมดังกล่าวฝ่าฝืนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย ย่อมเป็นความผิดสำเร็จตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 138 แล้ว แม้ต่อมาพนักงานอัยการจะมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้อง ก. ก็จะถือว่าไม่มีการเล่นการพนัน หรือการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานตำรวจฝ่าฝืนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จ่าสิบตำรวจเปรื่องได้จับกุมนาง ก. ในข้อหาเล่นการพนันโดยมิได้รับอนุญาต จ่าสิบตำรวจสมคิดผู้เสียหายเดินเข้าไปเพื่อจะช่วยจับกุมนาง ก. อันเป็นการปฏิบัติการตามหน้าที่ จำเลยได้ขัดขวางจ่าสิบตำรวจสมคิดมิให้เข้าร่วมจับกุมดังกล่าว ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๓๘ วรรค ๒
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๓๘ ลงโทษปรับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อกฎหมายข้อแรกที่จำเลยฎีกาก็คือ ร้อยตำรวจโทสุทัศน์ สอนสะอาด เบิกความฟังได้ว่าเหตุเกิดเมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๒๔ ซึ่งแตกต่างกับคำเบิกความของจ่าสิบตำรวจเปรื่องและจ่าสิบตำรวจสมคิดซึ่งเบิกความว่า เหตุเกิดวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๒๓ จึงถือได้ว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้อง ซึ่งเป็นข้อสาระสำคัญแห่งคดีและทำให้จำเลยหลงต่อสู้ จะต้องยกฟ้องโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๒ นั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่าแม้ร้อยตำรวจโทสุทัศน์จะเบิกความแตกต่างไปจากจ่าสิบตำรวจเปรื่อง และจ่าสิบตำรวจสมคิดในเรื่องวันเกิดเหตุก็ตาม แต่จ่าสิบตำรวจเปรื่องและจ่าสิบตำรวจสมคิดก็ยังเบิกความถึงวันเกิดเหตุตรงตามฟ้อง จึงน่าเชื่อว่าเป็นกรณีที่ร้อยตำรวจโทสุทัศน์จำวันเกิดเหตุคลาดเคลื่อนไป เมื่อศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจวินิจฉัยคำพยานดังกล่าวประกอบพยานหลักฐานอื่นฟังข้อเท็จจริงว่าเหตุเกิดเมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๒๓ เวลาประมาณ ๑๑ นาฬิกา ซึ่งตรงกับวันเวลาเกิดเหตุที่โจทก์บรรยายไว้ในคำฟ้อง จึงถือไม่ได้ว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องดังที่จำเลยฎีกาฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ข้อกฎหมายอีกข้อหนึ่งที่จำเลยฎีกาว่า พนักงานอัยการ กรมอัยการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องนางเกศราในข้อหาเล่นการพนันสลากกินรวบพนันเอาทรัพย์สินกันโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้ว การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดนั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๓๘ ได้บัญญัติไว้ว่า ผู้ใดต่อสู้ หรือขัดขวางเจ้าพนักงานหรือผู้ซึ่งต้องช่วยเจ้าพนักงานตามกฎหมายในการปฏิบัติการตามหน้าที่ต้องระวางโทษ ซึ่งหมายความว่า ถ้าเป็นการต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมายแล้วย่อมเป็นความผิดทั้งสิ้นสำหรับกรณีของจำเลยข้อเท็จจริงไม่ ปรากฏว่าจ่าสิบตำรวจสมคิดได้เข้าช่วยจับกุมนางเกศราโดยฝ่าฝืนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างใดการกระทำของจำเลยที่เข้าขัดขวางมิให้จ่าสิบตำรวจสมคิดเข้าช่วยจับกุมนางเกศรา ย่อมเป็นความผิดสำเร็จตามมาตรา ๑๓๘ แล้ว แม้ต่อมาพนักงานอัยการจะมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องนางเกศราก็จะถือว่าไม่มีการเล่นการพนันสลากกินรวบ และการที่จ่าสิบตำรวจสมคิดเข้าช่วยจับกุมนางเกศราเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายดังจำเลยฎีกาหาได้ไม่ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน
พิพากษายืน

Share