คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2478/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บริษัทโจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นพนักงานของโจทก์ได้เบียดบังยักยอกเอาเงินของโจทก์ไป โจทก์ได้หักเงินเดือน เงินโบนัส และเงินสะสม ซึ่งจำเลยที่ 1 มีสิทธิได้จากโจทก์เอาชำระหนี้บางส่วนแล้ว จึงขอให้ชำระเงินที่เหลือให้แก่โจทก์ จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธว่ามิได้เบียดบังยักยอกเงินของโจทก์ คดีจึงมีประเด็นจะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ได้เบียดบังยักยอกเงินของโจทก์หรือไม่ เป็นจำนวนเท่าใด ที่จำเลยที่ 1 ฟ้องแย้งขอให้บังคับให้โจทก์ส่งมอบคืนเงินของจำเลยที่ 1 ตามที่โจทก์บรรยายมาในฟ้องว่าเป็นของจำเลยที่ 1 ซึ่งโจทก์หักเอาไว้ชำระหนี้นั้นจึงเกี่ยวกับคำฟ้องเดิม ชอบที่ศาลจะรับไว้พิจารณา ส่วนที่จำเลยที่ 1 ฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์จ่ายเงินชดเชยให้จำเลยที่ 1 ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 6) และคืนเงินที่จำเลยที่ 1 ได้วางเป็นประกันกับโจทก์ก่อนเข้ารับตำแหน่งเป็นพนักงานขายปลีกของโจทก์นั้น เป็นเรื่องที่จะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 มีสิทธิได้รับเงินชดเชยจากโจทก์หรือไม่เป็นจำนวนเท่าใด จำเลยที่ 1 ได้วางเงินประกันไว้กับโจทก์หรือไม่เป็นจำนวนเท่าใด ไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมจึงไม่รับฟ้องแย้งส่วนนี้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดเมื่อต้นเดือนมกราคม ๒๕๑๘ โจทก์ได้ตกลงรับจำเลยที่ ๑ เข้าทำงานเป็นลูกจ้างในตำแหน่งพนักงานส่งเสริมการขาย โดยจำเลยที่ ๒ ยอมผูกพันตนเป็นผู้ค้ำประกันไว้ต่อโจทก์ในระหว่างที่จำเลยที่ ๑ปฏิบัติหน้าที่เป็นพนักงานของโจทก์ หากจำเลยที่ ๑ กระทำการใด ๆ อันก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ จำเลยที่ ๒ ยินยอมร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ภายในวงเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท โจทก์ได้ให้จำเลยที่ ๑ ปฏิบัติหน้าที่ในบริษัทโจทก์จนกระทั่งจำเลยที่ ๑ ได้ลาออกจากงานไปเมื่อสิ้นเดือนธันวาคม ๒๕๒๒ เมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๒๒ โจทก์ได้ตรวจสอบบัญชีสินค้าของโจทก์ในระยะเวลาระหว่างที่จำเลยที่ ๑ ปฏิบัติหน้าที่เป็นพนักงานขายสินค้าของโจทก์ จำเลยที่ ๑ ได้ขายสินค้าของโจทก์และรับชำระเงินค่าสินค้านั้นจากลูกค้าหลายครั้งแต่หาได้นำเงินนั้นส่งมอบแก่โจทก์ตามหน้าที่ไม่แต่ได้เบียดบังยักยอกเอาเป็นประโยชน์ส่วนตนเสียเป็นเงินประมาณ ๙๘,๕๗๖.๔๑ บาท จำเลยที่ ๑ รับว่าเป็นความจริงและได้ทำหนังสือรับสารภาพไว้เป็นหลักฐานปรากฏต่อโจทก์ในเวลาต่อมาโดยการตรวจสอบอย่างละเอียด ปรากฏว่าจำนวนเงินค่าสินค้าที่จำเลยที่ ๑ เบียดบังยักยอกเอาไปมีเพียง ๙๔,๑๒๑.๐๖ บาท โจทก์ได้หักเงินเดือน เงินโบนัส และเงินสะสมที่จำเลยที่ ๑ มีสิทธิได้จากโจทก์จำนวน ๓๗,๔๒๙.๘๑ บาท เอาชำระหนี้ที่จำเลยที่ ๑ เบียดบังยักยอกไปบางส่วน คงเหลือจำนวนที่จำเลยที่ ๑ เป็นหนี้โจทก์อยู่ ๕๖,๖๙๑.๒๕ บาท ซึ่งจำเลยที่ ๑ ต้องชำระให้โจทก์ ส่วนจำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้ค้ำประกันมีหน้าที่ต้องร่วมรับผิดชำระเงินให้โจทก์เป็นจำนวนเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท แต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระ จำเลยทั้งสองผิดนัดนับตั้งแต่วันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๒๒ ซึ่งเป็นวันที่จำเลยที่ ๑ ทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้โจทก์เป็นต้นมาจำเลยทั้งสองต้องชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินที่จำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดชำระให้โจทก์นับตั้งแต่วันผิดนัดคิดถึงวันฟ้องขอให้พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายจำนวน ๑๐,๐๐๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๗๕๐ บาท รวมเป็นเงิน ๑๐,๗๕๐ บาท กับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์ ให้จำเลยที่ ๑ ชำระค่าเสียหาย ๔๖,๖๙๑.๒๕ บาทพร้อมดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง ๓,๕๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๕๐,๑๙๑.๒๕ บาท กับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ได้เบียดบังเอาทรัพย์ของโจทก์ไป จำเลยที่ ๑ ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งพนักงานขายสินค้าปลีกโดยถูกต้องตามระเบียบวิธีการของบริษัทโจทก์ตลอดมา บริษัทโจทก์ไม่มีสิทธิหักเงินเดือน เงินโบนัส และเงินสะสมที่จำเลยที่ ๑ มีสิทธิได้รับจากบริษัทโจทก์ ๓๗,๔๒๙.๘๑ บาท ไปชำระหนี้ตามที่โจทก์ฟ้อง เพราะเงินจำนวนนี้เป็นสิทธิของจำเลยที่ ๑ ที่ควรจะได้รับจนครบถ้วน จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างประจำของบริษัทโจทก์มาตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๕๑๘ เงินเดือนครั้งสุดท้ายจำเลยที่ ๑ได้รับสุทธิ ๒,๖๕๙ บาท เมื่อบริษัทโจทก์ให้จำเลยที่ ๑ ออกจากงานโดยมิใช่ความผิดของจำเลยที่ ๑ บริษัทโจทก์จะต้องจ่ายเงินชดเชยให้จำเลยที่ ๑ อีกไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้ายหนึ่งร้อยแปดสิบวัน ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ๖) คิดเป็นเงินชดเชยที่จำเลยที่ ๑ ต้องได้รับเท่ากับ ๑๕,๙๕๔ บาท นอกจากนี้จำเลยที่ ๑ ยังได้วางเงินจำนวน ๒๐,๐๐๐ บาทไว้กับบริษัทโจทก์เป็นประกันก่อนเข้ารับตำแหน่งเป็นพนักงานขายปลีกของบริษัทโจทก์ตามที่บริษัทโจทก์เรียกให้วางอีกจำนวนหนึ่งด้วย รวมเป็นเงินที่จำเลยที่ ๑ มีสิทธิได้รับจากบริษัทโจทก์ ๗๓,๓๘๓.๘๑ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๒๓ อีก ๕,๕๐๓.๗๙ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๗๘,๘๘๗.๖๐ บาท เมื่อจำเลยที่ ๑ มิได้ทำผิดตามฟ้อง จำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้ค้ำประกันก็ไม่ต้องรับผิดตามที่สัญญาไว้ คดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้พิพากษายกฟ้อง และบังคับให้โจทก์ชำระเงินให้จำเลยที่ ๑ จำนวน ๗๘,๘๘๗.๖๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันให้การและฟ้องแย้งเป็นต้นไป
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเกี่ยวกับฟ้องแย้งของจำเลยว่า ฟ้องแย้งไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม จึงไม่รับ
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นพนักงานของโจทก์ได้เบียดบังยักยอกเอาเงินของโจทก์ไป ๙๔,๑๒๑.๐๖ บาท โจทก์ได้หักเงินเดือนเงินโบนัสและเงินสะสม ซึ่งจำเลยที่ ๑ มีสิทธิได้รับจากโจทก์รวม ๓๗,๔๒๙.๘๑ บาท เอาชำระหนี้ที่จำเลยที่ ๑ เบียดบังยักยอกไป จำเลยที่ ๑ ให้การปฏิเสธว่ามิได้เบียดบังยักยอกเอาเงินของโจทก์เลย คดีจึงมีประเด็นจะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยที่ ๑ ได้เบียดบังยักยอกเอาเงินของโจทก์หรือไม่ เป็นจำนวนเท่าใดที่จำเลยที่ ๑ ฟ้องแย้งขอให้บังคับให้โจทก์ส่งมอบคืนเงินของจำเลยที่ ๑ ตามที่โจทก์บรรยายมาในฟ้องว่าเป็นของจำเลยที่ ๑ และโจทก์หักเอาไว้เป็นการชำระหนี้ก็เป็นเรื่องที่จะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยที่ ๑ ได้เบียดบังยักยอกเอาเงินของโจทก์ อันเป็นเหตุให้โจทก์ยกขึ้นอ้างยึดเอาเงินที่โจทก์จะต้องจ่ายให้จำเลยที่ ๑ ไว้เป็นการหักหนี้หรือไม่และเพียงใด ฟ้องแย้งของจำเลยที่ ๑ ในส่วนนี้จึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับฟ้องเดิม ชอบที่ศาลจะรับไว้พิจารณาในคดีนี้
แต่ที่จำเลยที่ ๑ ฟ้องแย้งว่าโจทก์มีหน้าที่จะต้องจ่ายเงินชดเชยให้จำเลยที่ ๑ อีกไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้ายหนึ่งร้อยแปดสิบวันตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ๖) คิดเป็นเงินชดเชยที่จำเลยที่ ๑ ต้องได้รับเท่ากับ ๑๕,๙๕๔ บาท และจำเลยที่ ๑ ได้วางเงินจำนวน ๒๐,๐๐๐ บาทไว้กับบริษัทโจทก์เป็นประกันก่อนเข้ารับตำแหน่งเป็นพนักงานขายปลีกของบริษัทโจทก์ตามที่บริษัทโจทก์เรียกให้วางขอให้บังคับโจทก์ให้จ่ายเงินสองจำนวนนี้แก่จำเลยที่ ๑ นั้น เห็นว่าคดีตามฟ้องแย้งส่วนนี้เป็นเรื่องที่จะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยที่ ๑ มีสิทธิได้รับเงินชดเชยจากโจทก์หรือไม่และเป็นจำนวนเท่าใด จำเลยที่ ๑ ได้วางเงินประกันไว้กับบริษัทโจทก์หรือไม่และเป็นจำนวนเท่าใด ซึ่งไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม
พิพากษาแก้เป็นให้รับฟ้องแย้งที่จำเลยที่ ๑ เรียกให้โจทก์ชำระเงินเดือนเงินโบนัส และเงินสะสม ซึ่งจำเลยที่ ๑ มีสิทธิได้รับจากโจทก์เป็นเงิน ๓๗,๔๒๙.๘๑ บาท แก่จำเลยที่ ๑ ไว้พิจารณาและดำเนินการต่อไป นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share