คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3337/2524

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยที่ 1 ขับรถของจำเลยที่ 2 เพื่อนำไปซ่อม แม้โจทก์จะไม่มีพยานนำสืบว่าจำเลยที่ 1 ขับรถเพื่อนำไปซ่อมตามคำสั่งของผู้ใด แต่รถนั้นก็เป็นรถที่ใช้งานของจำเลยที่ 2 มีจำเลยที่ 1 เป็นคนขับประจำ และจำเลยที่ 1 เก็บรักษากุญแจรถไว้เอง จึงเป็นกิจการที่กระทำไปเพื่อประโยชน์แก่จำเลยที่ 2 โดยตรง เมื่อเกิดเหตุขึ้นย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย
ปัญหาเรื่องค่าสินไหมทดแทนศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นแต่ที่ศาลชั้นต้นให้จำเลยเสียค่าดอกเบี้ยในจำนวนเงินค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ที่ 7 (โจทก์สำนวนที่ 5) ด้วยนั้นคลาดเคลื่อนไปเพราะโจทก์ที่ 7 มิได้เรียกร้องเอาดอกเบี้ย เป็นการเกินคำขอและกรณีดังกล่าวเป็นเรื่องเกี่ยวกับหนี้ร่วมอันไม่อาจแบ่งแยกได้แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้อุทธรณ์ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจแก้ไขให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 ด้วยได้

ย่อยาว

คดีทั้งห้าสำนวนนี้ศาลล่างทั้งสองพิจารณาพิพากษารวมกันมา
โจทก์ห้าสำนวนต่างฟ้องจำเลยสรุปความว่า จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างประจำของจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นนิติบุคคลโดยเป็นกรมสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๒๑ จำเลยที่ ๑ ได้ขับรถยนต์หมายเลข ๑ ล – ๐๒๔๔ มีเครื่องพ่วงท้ายของจำเลยที่ ๒ ตามถนนสายปัตตานี – นราธิวาส ด้วยความประมาทโดยขับรถด้วยความเร็วสูงเมื่อถึงบริเวณใกล้สี่แยกปาลัส ซึ่งเป็นย่านชุมนุมชนมีตลาดนัดและคนพลุกพล่าน จำเลยที่ ๑ มิได้ลดความเร็วกลับขับรถหลบคนไปทางขวามือ เป็นเหตุให้พุ่งเข้าชนรถยนต์หมายเลขทะเบียน ป.น. ๐๓๗๙๓ ของโจทก์สำนวนที่ ๕ ซึ่งจอดอยู่ และรถที่จำเลยที่ ๑ ขับได้ชนนางสะริเปาะ ปูเต๊ะ ภริยาโจทก์ที่ ๑ และเป็นมารดาของโจทก์ที่ ๒ ที่ ๓ สำนวนแรกถึงแก่ความตาย ชนโจทก์สำนวนที่ ๒โจทก์สำนวนที่ ๓ และโจทก์สำนวนที่ ๔ ได้รับบาดเจ็บ
จำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์ของจำเลยที่ ๒ ตามหน้าที่ราชการ และตามคำสั่งการควบคุมของจำเลยที่ ๒ ภายใต้การบังคับบัญชาหรือในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒เป็นการละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ ๒ จึงต้องร่วมรับผิดด้วย
โจทก์ที่ ๑ สำนวนแรกเสียค่าใช้จ่ายในการทำศพนางสะริเปาะ ผู้ตายเป็นเงิน ๑๕,๖๐๐ บาท โจทก์ที่ ๒ ที่ ๓ ขาดการอุปการะเลี้ยงดู และให้การศึกษาส่วนของโจทก์ที่ ๒ เป็นเงิน ๑๐,๘๐๐ บาท ของโจทก์ที่ ๓ เป็นเงิน ๑๖,๐๐๐ บาทรวมค่าเสียหายโจทก์สำนวนแรกเป็นเงิน ๔๒,๔๐๐ บาท
โจทก์สำนวนที่ ๒ เสียค่ารักษาพยาบาลกับค่าขาดรายได้ที่ไม่สามารถประกอบอาชีพ รวมเป็นเงิน ๓๔,๗๕๐ บาท
โจทก์สำนวนที่ ๓ เสียค่ารักษาพยาบาลกับค่าขาดรายได้ที่ไม่สามารถประกอบอาชีพ รวมเป็นเงิน ๑๒,๐๐๐ บาท
โจทก์สำนวนที่ ๔ เสียค่ารักษาพยาบาลกับค่าขาดรายได้ที่ไม่สามารถประกอบอาชีพ รวมเป็นเงิน ๑๐,๒๐๐ บาท
โจทก์สำนวนที่ ๕ เสียค่าซ่อมรถยนต์ที่ถูกชนและค่าขาดรายได้ระหว่างซ่อมรถ เป็นเงิน ๓๗,๔๕๐ บาท
โจทก์แต่ละสำนวนขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวนดังกล่าว และโจทก์ที่ ๑ สำนวนแรกกับโจทก์สำนวนที่ ๒ สำนวนที่ ๓ และสำนวนที่ ๔ ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันเสียดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จด้วย
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาทั้งห้าสำนวน
จำเลยที่ ๒ ให้การอย่างเดียวกันทุกสำนวนว่า เหตุเกิดขึ้นเพราะความประมาทของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ จริง แต่จำเลยที่ ๑ เอารถยนต์ของจำเลยที่ ๒ ไปขับขี่โดยพลการมิได้รับอนุญาตหรือมอบหมายหรือได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาแต่ประการใด จำเลยที่ ๑ ปฏิบัติหรือกระทำการนอกเหนือและเกินอำนาจหน้าที่ เป็นการปฏิบัตินอกทางการที่จ้าง จำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องรับผิดค่าเสียหายสูงเกินกว่าความเป็นจริง ขอให้ยกฟ้อง
ในการสั่งรวมการพิจารณาคดี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เรียกโจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ สำนวนแรกเป็นโจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ตามเดิมและเรียกโจทก์สำนวนที่ ๒ สำนวนที่ ๓ สำนวนที่ ๔ และสำนวนที่ ๕ เป็นโจทก์ที่ ๔ ที่ ๕ ที่ ๖ และที่ ๗ ตามลำดับ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ที่ ๑ เป็นเงิน ๑๕,๖๐๐ บาท โจทก์ที่ ๒ ที่ ๓ รวม ๒๕,๒๐๐ บาท โจทก์ที่ ๔ เป็นเงิน ๑๗,๘๐๐ บาท โจทก์ที่ ๕ เป็นเงิน ๕,๔๐๐ บาท โจทก์ที่ ๖ เป็นเงิน ๓,๒๐๐ บาท และโจทก์ที่ ๗เป็นเงิน ๓๑,๑๕๐ บาท กับให้เสียดอกเบี้ยในเงินที่ต้องชดใช้แก่โจทก์ที่ ๑ ที่ ๔ ที่ ๕ ที่ ๖และที่ ๗ อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในยอดเงินที่ต้องรับผิดนับแต่วันฟ้องของแต่ละสำนวนจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์ทุกสำนวน โดยคดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริงผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีหตุอันควรอุทธรณ์ได้
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒ ทั้งห้าสำนวนนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ทุกสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ ๑ ขับรถของจำเลยที่ ๒ เพื่อนำไปซ่อมแล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายว่า แม้โจทก์จะไม่มีพยานนำสืบว่าจำเลยที่ ๑ ขับรถเพื่อนำไปซ่อมตามคำสั่งของผู้ใด แต่รถนั้นก็เป็นรถที่ใช้งานของจำเลยที่ ๒ มีจำเลยที่ ๑ เป็นคนขับประจำ และจำเลยที่ ๑ เก็บรักษากุญแจรถไว้เอง การที่จำเลยที่ ๑ ขับรถเพื่อนำไปซ่อม จึงเป็นกิจการที่กระทำไปเพื่อประโยชน์แก่จำเลยที่ ๒ โดยตรง เมื่อเกิดเหตุขึ้นย่อมถือได้ว่า จำเลยที่ ๑ กระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ ดังนั้นจำเลยที่ ๒ จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ด้วย
ส่วนปัญหาเรื่องค่าสินไหมทดแทนของโจทก์แต่ละสำนวนศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๒ ในเรื่องนี้ ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนและศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นพ้องด้วยตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้น แต่ที่ศาลชั้นต้นให้จำเลยเสียค่าดอกเบี้ยในจำนวนเงินค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ที่ ๗ (โจทก์สำนวนที่ ๕) ด้วยนั้นคลาดเคลื่อนไปเพราะโจทก์ที่ ๗ มิได้เรียกร้องเอาดอกเบี้ย การให้จำเลยเสียค่าดอกเบี้ยจึงเกินคำขอและกรณีดังกล่าวนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับหนี้ร่วมอันไม่อาจแบ่งแยกได้ แม้จำเลยที่ ๑ จะมิได้อุทธรณ์ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจแก้ไขให้มีผลถึงจำเลยที่ ๑ ด้วยได้
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า ให้บังคับคดีแก่จำเลยที่ ๒ ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เว้นแต่ข้อที่ศาลชั้นต้นให้จำเลยทั้งสองเสียดอกเบี้ยในเงินค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ที่ ๗ (โจทก์สำนวนที่ ๕) ให้แก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองไม่ต้องเสียค่าดอกเบี้ยนั้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share