แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเช่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจากโจทก์แล้วผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่า โจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าแล้วขอให้ขับไล่จำเลยและบริวาร ผู้ร้องยื่นคำร้องสอดว่าผู้ร้องเป็นภรรยาของจำเลย ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทเป็นสินสมรสผู้ร้องมีส่วนเป็นเจ้าของครึ่งหนึ่ง จำเลยนำไปขายฝากโดยผู้ร้องไม่ทราบ เมื่อผู้ร้องทราบได้ฟ้องจำเลยขอให้ลงชื่อผู้ร้องเป็นเจ้าของรวมในโฉนดที่ดินพิพาทคดีอยู่ระหว่างพิจารณา ก่อนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทจะหลุดเป็นสิทธิแก่โจทก์ผู้ร้องได้ขอไถ่การขายฝากแต่โจทก์ไม่ให้ไถ่ ผู้ร้องได้ฟ้องโจทก์และจำเลยว่าสมคบกันไม่ยอมให้ผู้ร้องไถ่ คดีอยู่ระหว่างการพิจารณา และที่จำเลยทำสัญญาเช่ากับโจทก์เป็นการฉ้อฉลโดยจำเลยมีเจตนาจะให้ผิดสัญญาเพื่อโจทก์จะได้ฟ้องขับไล่จำเลยกับบริวารคือผู้ร้อง จึงขอร้องสอดเข้ามาเป็นจำเลยเพื่อขอให้ศาลรับรอง คุ้มครอง หรือบังคับตามสิทธิของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1) คำร้องสอดของผู้ร้องดังกล่าวเป็นการตั้งสิทธิเข้ามาในฐานะเป็นคู่ความฝ่ายที่สาม เป็นปฏิปักษ์แก่ทั้งโจทก์และจำเลย หาใช่เข้ามาเพียงเป็นจำเลยต่อสู้คดีกับโจทก์โดยเฉพาะไม่ซึ่งถ้าศาลรับคำร้องสอดไว้ โจทก์จำเลยก็ต้องให้การแก้คำร้องสอด คำร้องสอดของผู้ร้องจึงเป็นคำฟ้อง และผู้ร้องอยู่ในฐานะเป็นโจทก์ ทั้งสิทธิที่ผู้ร้องอ้างว่าถูกโจทก์จำเลยโต้แย้งนี้ ผู้ร้องได้ฟ้องโจทก์จำเลยต่อศาลไว้ก่อน คดีอยู่ระหว่างพิจารณา คำร้องสอดของผู้ร้องจึงเป็นฟ้องซ้อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา173(1)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเช่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทจากโจทก์แล้วผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่า โจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าแล้ว ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาท กับให้จำเลยชำระค่าเช่าค่าเสียหายแก่โจทก์
ผู้ร้องยื่นคำร้องสอดว่า ผู้ร้องเป็นภรรยาจำเลย ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับผู้ร้อง ผู้ร้องมีส่วนเป็นเจ้าของครึ่งหนึ่งจำเลยนำไปขายฝากแก่โจทก์โดยผู้ร้องไม่ทราบ เมื่อผู้ร้องทราบได้ฟ้องจำเลยขอให้ลงชื่อผู้ร้องเป็นเจ้าของรวมในโฉนดที่ดินพิพาท คดีอยู่ระหว่างพิจารณาก่อนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทจะหลุดเป็นสิทธิแก่โจทก์ ผู้ร้องได้ขอไถ่การขายฝาก โจทก์ไม่ยอมให้ไถ่ผู้ร้องได้ฟ้องโจทก์และจำเลยว่าสมคบกันไม่ยอมให้ผู้ร้องไถ่ คดีอยู่ระหว่างพิจารณาสัญญาเช่าตามฟ้องโจทก์จำเลยร่วมกันทำขึ้นเพื่อฉ้อฉลผู้ร้อง จำเลยเจตนาผิดสัญญา เพื่อให้โจทก์ขับไล่ผู้ร้องซึ่งเป็นบริวารของจำเลย ผู้ร้องยังมีสิทธิไถ่การขายฝากได้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องผู้ร้องจึงขอเข้ามาเป็นจำเลยเพื่อขอให้ศาลรับรอง คุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของผู้ร้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๗(๑)
ศาลชั้นต้นเห็นว่าคำร้องสอดเป็นคำฟ้อง มีคำสั่งให้ผู้ร้องเสียค่าขึ้นศาลผู้ร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ศาลสั่งให้ยกคำร้องขออนาถา
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ได้พิเคราะห์คำร้องสอดของผู้ร้องข้างต้นแล้วเห็นว่าที่ผู้ร้องขอเข้ามาในคดีโดยอ้างสิทธิว่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่จำเลยนำไปขายฝากจนหลุดตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ตามสัญญาขายฝากนั้น เป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับผู้ร้อง ผู้ร้องจึงมีส่วนเป็นเจ้าของอยู่ครึ่งหนึ่ง จำเลยทำสัญญาขายฝากโดยผู้ร้องไม่ทราบ ผู้ร้องได้ยื่นฟ้องจำเลยขอลงชื่อร่วมในโฉนดที่ดินทั้งสองแปลงตามฟ้องต่อศาลแพ่งเป็นคดีหมายเลขดำที่ ๔๔๒๔/๒๕๒๑ ซึ่งจำเลยไม่ยินยอม คดีอยู่ระหว่างพิจารณา ทั้งก่อนที่สัญญาขายฝากจะครบกำหนด ผู้ร้องได้ไปขอไถ่ต่อโจทก์ จำเลยก็ขัดขวางและในที่สุดโจทก์ไม่ยอมให้ไถ่ ผู้ร้องก็ได้ฟ้องโจทก์จำเลยว่าสมคบกันไม่ยอมให้ผู้ร้องไถ่การขายฝากและขอไถ่ ปรากฏตามคดีหมายเลขดำที่ ๗๓๓๑/๒๕๒๒ ของศาลแพ่ง คดีอยู่ระหว่างพิจารณา ส่วนที่จำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินและสิ่งปลูกกับโจทก์ต่อมาโดยให้ค่าเช่าเดือนละ๑๕,๐๐๐ บาท ผู้ร้องก็อ้างในคำร้องสอดว่าเป็นการฉ้อฉลโดยจำเลยมีเจตนาจะให้ผิดสัญญาเพื่อโจทก์จักได้มีโอกาสฟ้องขับไล่จำเลยกับบริวารคือผู้ร้อง เช่นนี้ เห็นได้ว่า ผู้ร้องตั้งสิทธิของผู้ร้องเข้ามาในคดีในฐานะคู่ความฝ่ายที่สามและเป็นปฏิปักษ์แก่ทั้งโจทก์และจำเลยหาใช่เข้ามาเพียงเป็นจำเลยต่อสู้คดีกับโจทก์โดยเฉพาะไม่ ซึ่งถ้าศาลรับคำร้องสอดของผู้ร้องไว้โจทก์จำเลยก็ต้องให้การแก้คำร้องสอดของผู้ร้อง คำร้องสอดของผู้ร้องจึงเป็นคำฟ้องและผู้ร้องอยู่ในฐานะเป็นโจทก์หาใช่เป็นจำเลยไม่ทั้งสิทธิที่ผู้ร้องอ้างว่าถูกโจทก์จำเลยโต้แย้งนี้ ผู้ร้องได้ฟ้องโจทก์จำเลยเป็นคดีต่อศาลไว้แล้วปรากฏตามคดีหมายเลขดำที่ ๔๔๒๔/๒๕๒๑ และ ๗๓๓๑/๒๕๒๒ ของศาลแพ่ง คดีอยู่ในระหว่างพิจารณา คำร้องสอดของผู้ร้องจึงเป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๓(๑)ศาลฎีกาเห็นด้วยในผลที่ศาลล่างทั้งสองยกคำร้อง ขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของผู้ร้อง
พิพากษายืน