แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามระเบียบการตรวจวัดประทับตราอนุญาตชักลากไม้ และตามคำสั่งของป่าไม้เขตที่ให้จำเลยออกไปตรวจวัดประทับตราอนุญาตชักลากไม้ จำเลยจะต้องทำบัญชีอนุญาตชักลากไม้ด้วย ดังนั้น การที่จำเลยทำบัญชีอนุญาตชักลากไม้เป็นเท็จก็เพื่อให้การประทับตราอนุญาตชักลากไม้ไม่ถูกต้อง ตามระเบียบเสร็จสิ้นไปโดยบริบูรณ์ การทำบัญชีอนุญาตชักลากไม้เป็นเท็จกับการประทับตราอนุญาตชักลากไม้ไม่ถูกต้องตามระเบียบจึงเป็นกรรมเดียวกันเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท แม้ขั้นตอนที่จะต้องกระทำ จำเลยต้องประทับตราอนุญาตชักลากไม้ก่อนแล้วจึงทำบัญชีอนุญาตชักลากก็หาทำให้การกระทำของจำเลยเป็นสองกรรมต่างกันไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 160, 162 แต่ละกรรมเป็นความผิดตามมาตรา 157 ด้วย ให้ลงโทษตามมาตรา 157 ซึ่งเป็นบทหนักทั้งสองกระทง จำคุกกระทงละ 5 ปี ข้อหาทำไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติให้ยกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยฐานทำไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติด้วย ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยตามมาตรา 160, 162 เป็นความผิดกรรมเดียวกัน พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 160, 162 และ 157 ให้ลงโทษตามมาตรา 157 ซึ่งเป็นบทหนักที่สุด จำคุก 10 ปี ดังนี้ ถือไม่ได้ว่าโจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยหนักขึ้น การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยกระทงเดียว 10 ปี เป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน คือตัดฟันไม้หวงห้ามโดนไม่ได้รับอนุญาต ประทับตราอนุญาตชักลากไม้โดยมิชอบ ทำบัญชีขนาดจำนวนไม้เป็นเท็จ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ ฯลฯ พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗, ๑๖๐, ๑๖๒, ๙๑ และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๖๐, ๑๖๒ แต่ละกรรมเป็นความผิดตามมาตรา ๑๕๗ ด้วย ให้ลงโทษตามมาตรา ๑๕๗ ซึ่งเป็นบทหนักทั้งสองกระทง จำคุกกระทงละ ๕ ปี รวมจำคุก ๑๐ ปี ริบของกลาง ข้อหานอกจากนี้ให้ยกฟ้อง
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การใช้รอยตราโดยมิชอบและการทำเอกสารเท็จของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวกัน พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๖๐, ๑๖๒ และ ๑๕๗ ให้ลงโทษตามมาตรา ๑๕๗ ซึ่งเป็นบทหนักที่สุด จำคุก ๑๐ ปี
โจทก์และจำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังนี้
ที่โจทก์ฎีกาว่าการที่จำเลยประทับตราอนุญาตชักลากไม้กับการทำบัญชีอนุญาตชักลากเป็นการกระทำผิดสองกรรมนั้น เห็นว่า ระเบียบการตรวจวัดประทับตราอนุญาตชักลากไม้ก็ดี ตามคำสั่งของป่าไม้เขตที่ให้จำเลยออกไปตรวจวัดประทับตราอนุญาตชักลากไม้ก็ดี จำเลยต้องทำบัญชีอนุญาตชักลากไม้ด้วย ฉะนั้น การที่จำเลยทำบัญชีอนุญาตชักลากไม้เป็นเท็จก็เพื่อให้การประทับตราอนุญาตชักลากไม้ไม่ถูกต้องตามระเบียบเสร็จสิ้นไปโดยบริบูรณ์นั่นเอง การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นกรรมเดียวกัน เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท แม้ขั้นตอนที่จะต้องกระทำ จำเลยต้องประทับอนุญาตชักลากไม้ก่อนแล้วจึงทำบัญชี ก็หาทำให้การกระทำของจำเลยเป็นสองกรรมต่างกันไม่
ที่จำเลยฎีกาว่า ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละ ๕ ปี โจทก์มิได้อุทธรณ์ให้ลงโทษหนักขึ้น เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยกระทำความผิดกรรมเดียวจะลงโทษจำคุกจำเลยเกินกว่า ๕ ปีมิได้ เห็นว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๖๐, ๑๖๒ แต่ละกรรมเป็นความผิดตามมาตรา ๑๕๗ ด้วย ให้ลงโทษตามมาตรา ๑๕๗ ซึ่งเป็นบทหนักทั้งสองกระทง จำคุกกระทงละ ๕ ปี รวมจำคุก ๑๐ ปี ข้อหาทำไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติให้ยกฟ้องโจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยฐานทำไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติด้วย ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการใช้รอยตราโดยมิชอบและการทำเอกสารเท็จเป็นความผิดกรรมเดียวกัน พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๖๐, ๑๖๒ และ ๑๕๗ ให้ลงโทษตามมาตรา ๑๕๗ ซึ่งเป็นบทหนักที่สุด จำคุก ๑๐ ปี ดังนี้ ถือไม่ได้ว่าโจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยหนักขึ้น การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย ๑๐ ปี เป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย เพราะเป็นการเพิ่มจากจำคุกกระทงละ ๕ ปี เป็นกระทงเดียว ๑๐ ปี ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๒
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลย ๕ ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์