แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ช. เป็นผู้ถือประทานบัตร จึงเป็นผู้มีสิทธิทำเหมืองตามประทานบัตร การที่ ช. ทำหนังสือมอบอำนาจตั้งให้โจทก์เป็นตัวแทน มีอำนาจทำการแทนในการติดต่อกับพนักงานเจ้าหน้าที่ เพื่อปฏิบัติการตราพระราชบัญญัติแร่ ในกิจการที่ระบุไว้ เป็นเพียงการตั้งตัวแทนเพื่อติดต่อกับพนักงานเจ้าหน้าที่เท่านั้น สิทธิทำเหมืองแร่ยังเป็นของ ช. ส่วนกาที่ ช. ทำสัญญารับเงินค่าตอบแทนแล้วมอบให้โจทก์มีอำนาจดำเนินการขุดแร่ ขายแร่ ได้ตามอายุประทานบัตรแต่ผู้เดียว โดยให้โจทก์เป็นผู้มีสิทธิและใช้สิทธิของตนได้โดยพลการนั้น มิใช่การโอนประทานบัตรแต่เป็นการให้โจทก์รับช่วงการทำเหมือง เมื่อมิได้รับใบอนุญาตจากรัฐมนตรีหรือผู้ที่รัฐมนตรีมอบหมาย ตามความในมาตรา 77 แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 โจทก์จึงหามีสิทธิทำเหมืองเสมือนผู้ถือประทานบัตรตามที่บัญญัติในบทมาตรานี้ไม่ สิทธิทำเหมืองยังเป็นของ ช. ผู้เดียว ที่โจทก์เข้าทำเหมืองเป็นเพียงเข้าทำโดยอาศัยสิทธิของ ช. หากมีการโต้แย้งขัดขวางสิทธิในการทำเหมืองก็เป็นการโต้แย้งสิทธิของ ช. หาใช่โต้แย้งสิทธิของโจทก์ไม่ แม้โจทก์จะอ้างว่าการทำสัญญาระหว่างโจทก์กับ ช.ข้างต้านระบุให้โจทก์เป็นตัวแทนมีสิทธิได้รับบำเหน็จ แต่ก็ปรากฏว่าจำเลยแจ้งให้ ช. ระงับการทำเหมืองตามประทานบัตรไว้กับแจ้งให้ ช. ส่งประทานบัตรคืน จำเลยมิได้โต้แย้งคัดค้านว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับประโยชน์จากการทำเหมืองตามสัญญาดังกล่าว การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำต่อสิทธิทำเหมืองตามประทานบัตรอันเป็นสิทธิของ ช. มิได้กระทำต่อสิทธิที่จะได้รับบำเหน็จของโจทก์ดังโจทก์อ้าง จึงไม่มีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหน้าที่ของโจทก์ ส่วนการที่นายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งเห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการตรวจและติดตามผลการปฏิบัติราชการให้โจทก์ได้รับค่าเสียหายจากรัฐบาลเนื่องจากทางการเพิกถอนประทานบัตรของ ช. แล้ว คำสั่งของนายกรัฐมนตรีดังกล่าวก็เป็นคำสั่งในทางบริหาร ไม่ใช่กฎหมาย ศาลจึงจะยกมาวินิจฉัยว่าจำเลยมีหน้าที่ต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์และโจทก์มีอำนาจฟ้องมิได้ โจทก์จึงไม่มีอำนาฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดจากจำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๑๓ พันตรีชล มีชูอรรถ ได้รับประทานบัตรทำเหมืองแร่เหล็ก ๔ แปลง พันตรีชลอได้มอบอำนาจให้โจทก์เป็นตัวแทนในการติดต่อกับพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๑๐ และได้จดทะเบียนหนังสือมอบอำนาจไว้แล้ว ต่อมาวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๑๓ พันตรีชลอได้ทำหนังสือสัญญาและมอบอำนาจให้โจทก์ดำเนินการขุดและขายแร่ที่เหมืองแร่เหล็กตามใบอนุญาตประทานบัตร ๔ แปลงนั้นตลอดไป โดยให้โจทก์เป็นผู้ลงทุนดำเนินการเองทั้งหมดและแบ่งผลประโยชน์แก่พันตรีชลอเป็นเงินอัตราเมตริกตันละ ๒๐ บาท ของจำนวนสินแร่ที่ผลิตได้ ในเดือนธันวาคม ๒๕๑๓ โจทก์เริ่มทำการขุดแร่ ก่อนที่โจทก์จะได้รับมอบอำนาจ จำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นข้าราชการทหาร และกองทัพบกได้โต้แย้งโดยไม่สุจริตในทางการของกระทรวงกลาโหมจำเลยที่ ๔ โดยมีหนังสือถึงกระทรวงอุตสาหกรรมจำเลยที่ ๒ ว่า ประทานบัตรทั้งสี่ฉบับซึ่งออกให้พันตรีชลอไม่ตรงกับพื้นที่ซึ่งศูนย์การทหารปืนใหญ่พิจาณาอนุญาตไว้ กรมทรัพยากรธรณีจำเลยที่ ๑ จึงได้มีหนังสือที่ พก.๐๖๐๗/๙๖๗๕ ลงวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๑๔ แจ้งให้พันตรีชลอระงับการทำเหมืองแร่ตามประทานบัตร เมื่อโจทก์ทราบเรื่องจึงโต้แย้งไปยังจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ก็กลับใจและยกเลิกคำสั่งตามหนังสือที่ พก.๐๖๐๗/๙๖๗๕ ลงวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๑๔ โจทก์จึงมีสิทธิเข้าไปดำเนินการทำเหมืองแร่เหล็กได้ตามปกติอีก ต่อมาวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๑๕ จำเลยที่ ๒ ได้มีหนังสือแจ้งพันตรีชลอให้ส่งประทานบัตรคืนโดยอ้างเหตุผลว่า หัวหน้าคณะปฏิบัติมีคำสั่งให้เพิกถอนประทานบัตรทั้งสี่แปลง ซึ่งเป็นการปฏิเสธไม่ให้ทำเหมืองแร่อีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้โดยจำเลยทั้งสี่ได้ร่วมกันกระทำการทุจริตต่อพันตรีชลอและโจทก์เพราะพันตรีชลอและโจทก์ไม่ยอมให้ทรัพย์สินเป็นรางวัลตอบแทนแก่จำเลยที่ ๓ ซึ่งเรียกร้องเอาโดยไม่สุจริต จึงได้หาเหตุกลั่นแกล้งเพื่อยับยั้งไม่ได้โจทก์เข้าไปทำเหมืองแร่ได้ เพื่อจะให้มีการเพิกถอนประทานบัตรเสีย โจทก์เห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงร้องเรียนต่อเลขาธิการคณะกรรมการตรวจและติดตามผลการปฏิบัติราชการ (ก.ต.ป.) คณะกรรมการดังกล่าวพิจารณาแล้วเชื่อว่าโจทก์ได้รับความเสียหายโดยมีบุคคลใดบุคคลหนึ่งกลั่นแกล้งโจทก์โดยไม่สุจริตจริง จึงทำความเห็นเสนอนายกรัฐมนตรีว่าให้จำเลยที่ ๑ สอบสวนหาตัวผู้กระทำผิดและพิจารณาชดใช้ค่าเสียหาย ซึ่งนายกรัฐมนตรีก็เห็นชอบและสั่งให้ดำเนินการตามนั้น แต่เวลาล่วงเลยมาจนบัดนี้จำเลยที่ ๑ และจำเลยอื่นก็ละเลยไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งของนายกรัฐมนตี เป็นการแสดงให้เห็นว่าจำเลยจงใจกลั่นแกล้งและทำละเมิดให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ซึ่งคำนวณแล้วเป็นเงิน ๔๙,๑๓๘,๒๐๐ บาท ตามบัญชีทรัพย์ค่าเสียหายท้ายฟ้อง ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ปฏิบัติตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีตามฟ้อง ให้จำเลยร่วมกันและแทนกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน ๔๙,๑๓๘,๒๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า โจทก์ไม่ใช่ผู้ถือประทานบัตร ไม่ใช่ผู้เช่าช่วงหรือรับโอนประทานบัตรตามกฎหมาย เพียงแต่เป็นตัวแทนรับมอบอำนาจจากผู้ถือประทานบัตรให้ทำการติดต่อกับพนักงานเจ้าหน้าที่และทำกิจการเหมืองแร่ในนามของผู้ถือประทานบัตรเท่านั้น ไม่ก่อให้เกิดผลที่จะใช้บังคับแก่ทางราชการได้ เพราะทางราชการไม่ทราบหรือให้ความยินยอมด้วย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง การออกประทานบัตรทั้งสี่ฉบับปรากฏว่าพันตรีชลอได้ยื่นคำขอและนำชี้เขตที่ดินบริเวณสนามฝึกยิงปืนของศูนย์การทหารปืนใหญ่ให้เจ้าหน้าที่กรมทรัพยากรธรณี มีการออกประทานบัตรโดยไม่ตรงกับสถานที่ซึ่งพันตรีชลอขออนุญาตต่อกองทัพบกไว้ ต่อมามีผู้บุกรุกเข้าไปทำเหมืองแร่ในเขตสนามฝึกยิงปืน จำเลยที่ ๑ ทราบเรื่องได้ให้ผู้แทนไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนและได้รายงานไปยังกองทัพบก กระทรวงกลาโหม จำเลยที่ ๔ ได้รายงานพฤติการณ์ทั้งหมดต่อคณะปฏิวัติ หัวหน้าคณะปฏิวัติจึงมีคำสั่งให้เพิกถอนประทานบัตรทั้งสี่ฉบับนั้นเสีย จำเลยที่ ๒ ก็ได้ดำเนินการสั่งเพิกถอนประทานบัตรดังกล่าวและแจ้งให้พันตรีชลอส่งประทานบัตรคืน จำเลยทั้งสี่มิได้ร่วมสมคบกันทุจริตต่อพันตรีชลอ มิได้ทำละเมิดต่อโจทก์ กิจการต่างๆ ที่โจทก์ทำไปแล้วเป็นการทำในนามผู้ถือประทานบัตรหรือผู้รับใบอนุญาตทำเหมืองแร่ชั่วคราวเท่านั้น ไม่ก่อให้เกิดสิทธิใดๆ แก่โจทก์เกี่ยวกับการนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสี่เลย คำสั่งของนายกรัฐมนตรีก็ไม่ใช่คำสั่งให้จ่ายค่าเสียหายแก่โจทก์ เพียงแต่สั่งให้พิจารณาเรื่องของโจทก์ที่ขอให้พิจารณาชดเชยค่าเสียหายสืบเนื่องจากการสั่งเพิกถอนประทานบัตรครั้งนี้เท่านั้น ซึ่งจำเลยที่ ๑ ก็ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า โจทก์ไม่อยู่ในฐานะที่จะได้รับค่าชดเชยในเรื่องนี้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พันตรีชลอเป็นผู้ถือประทานบัตร จึงเป็นผู้มีสิทธิทำเหมืองตามประทานบัตร การที่พันตรีชลอทำหนังสือมอบอำนาจตามเอกสารหมาย จ.๗ ตั้งให้โจทก์เป็นตัวแทน มีอำนาจทำการแทนในการติดต่อกับพนักงานเจ้าหน้าที่ เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติแร่ ในกิจการที่ระบุไว้ เป็นเพียงการตั้งตัวแทนเพื่อติดต่อกับพนักงานเจ้าหน้าที่เท่านั้น สิทธิทำเหมืองยังเป็นของพันตรีชลอ ส่วนการที่พันตรีชลอทำหนังสือสัญญามอบอำนาจตามเอกสารหมาย จ.๗ ก. และทำสัญญาเรื่องเงินค่าตอบแทนตามเอกสารหมาย จ.๑๕ มอบให้โจทก์มีอำนาจดำเนินการขุดแร่ ขายแร่ได้ตามอายุประทานบัตรแต่ผู้เดียว โดยให้โจทก์เป็นผู้มีสิทธิและใช้สิทธิของตนได้โดยพลการนั้น มิใช่การโอนประทานบัตร แต่เป็นการให้โจทก์รับช่วงการทำเหมือง เมื่อมิได้รับใบอนุญาตจากรัฐมนตรีหรือผู้ที่รัฐมนตรีมอบหมายตามความในมาตรา ๗๗ แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๑๐ โจทก์จึงหามีสิทธิทำเหมืองเสมือนผู้ถือประทานบัตราตามที่บัญญัติในบทมาตรานี้ไม่ สิทธิทำเหมืองยังเป็นของพันตรีชลอผู้เดียว ที่โจทก์เข้าทำเหมืองเป็นเพียงเจ้าทำโดยอาศัยสิทธิของพันตรีชลอ หากมีการโต้แย้งขัดขวางสิทธิในการทำเหมืองก็เป็นการโต้แย้งสิทธิของพันตรีชลอ หาใช่โต้แย้งสิทธิของโจทก์ไม่ โจทก์ฎีกาอ้างว่าหนังสือมอบอำนาจหมาย จ.๗ ก. ระบุให้โจทก์เป็นตัวแทนมีสิทธิได้รับบำเหน็จเมื่อจำเลยทั้งสี่กระทำละเมิดต่อโจทก์และเกิดความเสียหาย โจทก์จึงมีอำนาจตามสัญญาว่ามีบำเหน็จที่จะฟ้องจำเลยได้ พิเคราะห์แล้ว โจทก์ฟ้องเป็นใจความว่า จำเลยทั้งสี่ร่วมกันกระทำการทุจริตต่อพันตรีชลอและโจทก์ หาเหตุกลั่นแกล้งเพื่อไม่ให้โจทก์เข้าไปทำเหมืองแร่ได้ เพื่อจะให้มีการเพิกถอนประทานบัตรเสีย จำเลยที่ ๓ และกองทัพบกได้มีหนังสือในทางราชการของจำเลยที่ ๔ ไปถึงจำเลยที่ ๒ ว่า ประทานบัตรซึ่งออกให้พันตรีชลอไม่ตรงกับพื้นที่ซึ่งศูนย์การทหารปืนใหญ่อนุญาตไว้ และกองทัพบกยังได้แจ้งไปยังจำเลยที่ ๑ ให้เพิกถอนประทานบัตรเสีย จำเลยที่ ๑ จึงได้แจ้งให้พันตรีชลอระงับการทำเหมืองแร่ตามประทานบัตรไว้ แต่ต่อมาภายหลังได้ยกเลิกคำสั่งดังกล่าวเสีย ก่อนยกเลิกคำสั่งโจทก์ต้องหยุดทำเหมือง ได้รับความเสียหายตามบัญชีค่าเสียหายท้ายฟ้องส่วนหนึ่ง ครั้นต่อมาจำเลยที่ ๒ ได้มีหนังสือแจ้งแก่พันตรีชลอ ให้ส่งประทานบัตรคืน โดยอ้างว่าหัวหน้าคณะปฏิวัติมีคำสั่งให้เพิกถอนประทานบัตรแล้ว ซึ่งเป็นการปฏิเสธไม่ให้ทำเหมืองอีกครั้งหนึ่ง ทำให้โจทก์เสียหายเป็นค่าที่ได้ลงทุนทำเหมืองไป ขาดประโยชน์ที่ควรได้รับและอื่นๆ ตามบัญชีค่าเสียหายท้ายฟ้อง ดังนี้ เห็นได้ว่าการกระทำของจำเลยตามฟ้องเป็นการโต้แย้งขัดขวางต่อสิทธิทำเหมืองตามประทานบัตรโดยตรง ปรากฏว่าจำเลยแจ้งให้พันตรีชลอระงับการทำเหมืองตามประทานบัตรไว้และแจ้งให้พันตรีชลอส่งประทานบัตรคืน มิได้โต้แย้งคัดค้านว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับประโยชน์จากการทำเหมืองตามสัญญา เอกสารหมาย จ.๗ ก. จึงเห็นว่าการกระทำของจำเลยป็นการกระทำต่อสิทธิทำเหมืองตามประทานบัตร อันเป็นสิทธิของพันตรีชลอ มิได้กระทำต่อสิทธิที่จะได้รับบำเหน็จของโจทก์ดังโจทก์อ้าง จึงไม่มีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหน้าที่ของโจทก์ ที่โจทก์อ้างตามฎีกาและคำแถลงการณ์ต่อไปว่า คดีนี้นายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งเห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการตรวจและติดตามผลการปฏิบัติราชการให้โจทก์ได้รับค่าเสียหายจากรัฐบาลแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า คำสั่งของนายกรัฐมนตรีนั้น คำสั่งในทางบริหาร ไม่ใช่กฎหมาย ศาลจึงจะยกมาวินิจฉัยว่าจำเลยมีหน้าที่ต้องชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องมิได้ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับศาลล่างทั้งสองว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จึงไม่ต้องวินิจฉัยปัญหาข้ออื่นตามฎีกาของโจทก์อีกต่อไป
พิพากษายืน