แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องของโจทก์ตอนแรกบรรยายว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฝ่ายหนึ่งและจำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 อีกฝ่ายหนึ่ง ได้บังอาจเข้าทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน โจทก์บรรยายฟ้องตอนต่อไปใจความว่าโดนจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้บังอาจร่วมกันชกต่อยทำร้าย และใช้อาวุธปืนยิงจำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 โดยเจตนาฆ่า แต่กระสุนปืนไม่ถูกอวัยวะสำคัญของจำเลยที่ 4 และไม่ถูกจำเลยที่ 3 ที่ 5 ส่วนจำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ได้บังอาจร่วมกันใช้ไม้ท่อนและมีดดาบเป็นอาวุธตีและฟันทำร้ายจำเลยที่ 1 ที่ 2 โดยเจตนาฆ่า แต่ไม่ถูกอวัยวะสำคัญ จำเลยทั้งสองฝ่ายจึงไม่ถึงแก่ความตาย ดังนี้เห็นว่าฟ้องของโจทก์กล่าวไว้ชัดว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฝ่ายหนึ่งกระทำผิดข้อหาพยายามฆ่าและทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 และจำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ฝ่ายหนึ่ง กระทำผิดข้อหาพยายามฆ่าและทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 1 ที่ 2 แม้จำเลยไม่บรรยายว่าจำเลยคนใดทำร้ายจำเลยคนใด ก็เป็นการบรรยายพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี เพราะฟ้องโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยแต่ละฝ่ายสมคบกันกระทำผิด ฟ้องของโจทก์จึงสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ฝ่ายหนึ่ง และจำเลยที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ อีกฝ่ายหนึ่งได้บังอาจเข้าทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๘๐, ๒๙๙, ๒๙๗, ๘๓
จำเลยทั้งห้าให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๗ ยกฟ้องจำเลยที่ ๑ ที่ ๒
โจทก์และจำเลยที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คำบรรยายฟ้องของโจทก์ในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นและฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นไม่สมบูรณ์ตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘ (๕) คงลงโทษได้แต่เพียงฐานเข้าร่วมชุลมุนต่อสู้กันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๙ เท่านั้น พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งห้ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๙
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาที่โจทก์ฎีกาว่าฟ้องของโจทก์ในข้อหาความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นและทำร้ายร่างกายผู้อื่น เป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามกฎหมาย ฟ้องของโจทก์ตอนแรกบรรยายว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ฝ่ายหนึ่ง และจำเลยที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ อีกฝ่ายหนึ่งได้บังอาจเข้าทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน โจทก์ได้บรรยายฟ้องตอนต่อไปใจความว่าโดยจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ได้บังอาจร่วมกันชกต่อยทำร้าย และใช้อาวุธปืนยิงจำเลยที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ โดยเจตนาฆ่า แต่กระสุนปืนไม่ถูกอวัยวะสำคัญของจำเลยที่ ๔ และไม่ถูกจำเลยที่ ๓ ที่ ๕ ส่วนจำเลยที่ ๓ ที่ ๔ และที่ ๕ ได้บังอาจร่วมกันใช้ไม้ท่อนและมีดดาบเป็นอาวุธตีและฟันทำร้ายจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ โดยเจตนาฆ่า แต่ไม่ถูกอวัยวะสำคัญ จำเลยทั้งสองฝ่ายจึงไม่ถึงแก่ความตาย เห็นว่าฟ้องกล่าวไว้ชัดว่า โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ฝ่ายหนึ่ง กระทำผิดข้อหาพยายามฆ่าและทำร้ายร่างกายจำเลยที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ และจำเลยที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ ฝ่ายหนึ่งกระทำผิดข้อหาพยายามฆ่าและทำร้ายร่างกายจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ แม้จะไม่บรรยายว่าจำเลยคนใดทำร้ายจำเลยคนใดก็เป็นการบรรยายพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี เพราะฟ้องโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยแต่ละฝ่ายสมคบกันกระทำผิด ฟ้องโจทก์จึงสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘ (๕) หาเคลือบคลุมไม่ และศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ มิได้กระทำผิดดังฟ้อง จำเลยที่ ๓ ที่ ๕ มีความผิดฐานทำร้ายร่างกายจำเลยที่ ๒ ได้รับอันตรายสาหัส และทำร้ายจำเลยที่ ๑ ได้รับอันตรายแก่กาย ส่วนจำเลยที่ ๔ มีความผิดฐานทำร้ายร่างกายจำเลยที่ ๒ ได้รับอันตรายสาหัส
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ ๓ ที่ ๕ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๕ และ ๒๙๗ จำเลยที่ ๔ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๗ และให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๑ ที่ ๒