คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1348/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1249 ที่บัญญัติว่า ห้างหุ้นส่วนแม้จะได้เลิกกันแล้ว ก็ให้ฟังถือว่ายังคงตั้งอยู่ตราบเท่าเวลาที่จำเป็นเพื่อการชำระบัญชีนั้น มิได้หมายความว่า ในระหว่างนั้น ห้างหุ้นส่วนดังกล่าวจะทำกิจการได้ทุกอย่าง แต่จะทำได้เฉพาะกิจการอันจำเป็นเพื่อการชำระบัญชีเท่านั้น ซึ่งได้แก่กิจการอันเป็นอำนาจของผู้ชำระบัญชีตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1259
การค้ำประกันหนี้ผู้อื่นไม่ใช่กิจการอันจำเป็นเพื่อการชำระบัญชี ห้างหุ้นส่วนจำกัด ซึ่งได้จดทะเบียนเลิกห้างหุ้นส่วนแล้ว และอยู่ในระหว่างชำระบัญชีจึงกระทำมิได้และไม่ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันซึ่งหุ้นส่วนผู้จัดการกระทำแทน แต่การที่หุ้นส่วนผู้จัดการทำสัญญาค้ำประกันดังกล่าวแทนห้างหุ้นส่วน เป็นเรื่องตัวแทนกระทำโดยปราศจากอำนาจ หุ้นส่วนผู้จัดการต้องรับผิดตามสัญญาโดยลำพัง ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 823

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ซึ่งกระทำในฐานะส่วนตัวและในนามจำเลย ที่ ๑ ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ ๒ ฉบับ โดยมีจำเลยที่ ๓ และจำเลยที่ ๔ ซึ่งกระทำในฐานะส่วนตัวและในนามจำเลยที่ ๓ ทำหนังสือสัญญาค้ำประกัน เมื่อสัญญาครบกำหนดแล้ว จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ เป็นหนี้โจทก์อยู่ โจทก์ทวงถามจำเลยทั้งสี่แล้วไม่ชำระจึงขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การ ต่อมาโจทก์ถอนฟ้องจำเลยทั้งสองนี้ เนื่องจากถูกศาลพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยที่ ๓ ที่ ๔ ให้การว่า จำเลยที่ ๔ ไม่เคยทำหนังสือสัญญาค้ำประกันเป็นการส่วนตัว จำเลยที่ ๓ ไม่เคยทำหนังสือสัญญาค้ำประกันตามฟ้อง ระยะเวลาที่โจทก์อ้างในฟ้องเป็นเวลาภายหลังที่ห้างจำเลยที่ ๓ เลิกแล้ว และอยู่ในระหว่างชำระบัญชี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ ๓ และจำเลยที่ ๔ ร่วมกับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ใช้เงินจำนวนหนึ่งและดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๔ ผู้เดียวใช้เงินทุกจำนวนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๓
โจทก์และจำเลยที่ ๔ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีฟังได้ว่า จำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการทำหนังสือสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ ๒ ฉบับ จำเลยที่ ๓ โดยจำเลยที่ ๔ ในฐานะเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการได้ทำหนังสือสัญญาค้ำประกันหนี้ตามหนังสือฉบับแรก สัญญาค้ำประกันดังกล่าวได้กระทำในระหว่างชำระบัญชีหลังจากได้จดทะเบียนเลิกห้างหุ้นส่วนแล้ว และแต่งตั้งจำเลยที่ ๔ เป็นผู้ชำระบัญชี โจทก์ได้หักทอนบัญชีกระแสรายวัน เลิกสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับจำเลยที่ ๑ ปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ เป็นหนี้โจทก์อยู่ มีปัญหาว่าจำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาค้ำประกันหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ที่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๒๔๙ บัญญัติไว้ว่า ห้างหุ้นส่วนก็ดี บริษัทก็ดี แม้จะได้เลิกกันแล้ว ก็ให้พึงถือว่ายังคงตั้งอยู่ตราบเท่าเวลาที่จำเป็นเพื่อการชำระบัญชี นั้น มิได้หมายความว่า ในระหว่างนั้นห้างหุ้นส่วนดังกล่าวจะทำกิจการได้ทุกอย่าง แต่จะทำได้เฉพาะกิจการอันจำเป็นเพื่อการชำระบัญชีเท่านั้น ซึ่งได้แก่กิจการอันเป็นอำนาจของผู้ชำระบัญชีตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๒๕๙ การค้ำประกันหนี้ผู้อื่นไม่ใช่กิจการอันจำเป็นเพื่อการชำระบัญชี จำเลยที่ ๓ จึงกระทำมิได้ ดังนั้น จำเลยที่ ๓ จึงไม่ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันนั้น
ที่จำเลยที่ ๔ ฎีกาว่า จำเลยที่ ๔ ทำสัญญาค้ำประกันแทนจำเลยที่ ๓ ได้กระทำในฐานะส่วนตัว ทั้งจำเลยที่ ๓ไม่ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันแล้ว จำเลยที่ ๔ จึงไม่ต้องรับผิดนั้น เห็นว่า แม้จำเลยที่ ๔ จะกระทำแทนจำเลยที่ ๓ แต่เมื่อจำเลยที่ ๓ ไม่มีอำนาจทำสัญญาค้ำประกัน จำเลยที่ ๔ ก็ไม่มีอำนาจทำสัญญานั้นแทนได้ การที่จำเลยที่ ๔ ทำสัญญาค้ำประกันแทนจำเลยที่ ๓ จึง เป็นเรื่องตัวแทนกระทำโดยปราศจากอำนาจ หุ้นส่วนผู้จัดการต้องรับผิดตามสัญญาโดยลำพัง ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๒๓
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียม ชั้นฎีกา ให้เป็นพับ

Share