แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีก่อนโจทก์ฟ้องไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยโดยอาศัยเหตุที่โจทก์เป็นผู้ค้ำประกันและได้ใช้หนี้แทนจำเลยไป แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยคืนเงินที่โจทก์ชำระหนี้แทนจำเลย โดยสำคัญผิดว่าโจทก์มีหน้าที่ต้องชำระแทน โดยอาศัยหลักลาภมิควรได้ ซึ่งเป็นการอาศัยเหตุต่างกัน จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
โจทก์เพิ่งจะรู้ว่าตนมีสิทธิเรียกเงินคืนจากจำเลยในฐานลาภมิควรได้ เมื่อศาลพิพากษาในคดีก่อนว่าสัญญาที่โจทก์ค้ำประกันจำเลยนั้นไม่ผูกพันโจทก์ อายุความ 1 ปี จึงต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่ศาลได้มีคำพิพากษาในคดีก่อน (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 466/2492)
การชำระหนี้โดยรู้อยู่ว่าตนไม่มีความผูกพันที่จะต้องชำระตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 407 นั้น ต้องถือหลักว่ารู้หรือไม่รู้ตามความรู้เห็นของผู้ชำระเป็นประมาณ ไม่ถือเอาผลในกฎหมายว่ามีความผูกพันกันอยู่จริงหรือไม่เป็นเกณฑ์ เพียงแต่ผู้ชำระสำคัญผิดว่าตนมีความผูกพันที่จะต้องชำระหนี้นั้น แม้ตามกฎหมายผู้ชำระจะไม่ต้องผูกพันก็จะถือว่าผู้ชำระรู้อยู่แล้วไม่ได้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ชำระหนี้แทนจำเลยไปโดยสำคัญผิด โจทก์ก็ใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 409
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยในการกู้ยืมเงินจากบริษัท ว. ต่อมาจำเลยไม่ชำระหนี้ โจทก์จึงต้องชำระแทนโดยสำคัญผิดว่าโจทก์มีหน้าที่ต้องชำระแทนตามสัญญาค้ำประกัน ซึ่งความจริงโจทก์ไม่มีหน้าที่ชำระ โจทก์ไม่อาจเรียกเงินคืนจากบริษัท ว. ได้ เพราะบริษัท ว. ได้ลบล้างหลักฐานแห่งหนี้ของจำเลยจนหมดสิ้นแล้ว จำเลยจึงต้องคืนเงินแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำ จำเลยไม่เคยให้โจทก์ชำระหนี้แทน โจทก์มิได้สำคัญผิดในการชำระหนี้รายนี้ เป็นการชำระหนี้ตามอำเภอใจ จึงไม่มีสิทธิไล่เบี้ยเอาแก่จำเลย คดีโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ชำระหนี้แทนจำเลยโดยมิได้สำคัญผิด พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาเรื่องฟ้องซ้ำ ในคดีก่อนโจทก์ฟ้องไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยโดยโจทก์เป็นผู้ค้ำประกันและได้ชำระหนี้ของจำเลยไปโดยอาศัยหลักค้ำประกัน แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยคืนเงินที่โจทก์ชำระหนี้แทนจำเลยโดยสำคัญผิดว่าโจทก์มีหน้าที่ต้องชำระแทนโดยอาศัยหลักลาภมิควรได้ซึ่งเป็นการอาศัยเหตุต่างกัน ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
ส่วนปัญหาเรื่องอายุความว่าจะนับอายุความ ๑ ปี ตั้งแต่วันที่โจทก์ชำระหนี้หรือนับแต่วันที่ศาลพิพากษาในคดีก่อนว่าสัญญาที่โจทก์ค้ำประกันจำเลยนั้นไม่ผูกพันโจทก์ เห็นว่าต้องนับแต่วันที่ศาลพิพากษาในคดีก่อนซึ่งเป็นเวลาที่โจทก์รู้ว่าตนมีสิทธิเรียกเงินคืนในฐานลาภมิควรได้ เพราะก่อนวันดังกล่าวโจทก์ยังมิอาจทราบได้ว่าตนมีสิทธิเรียกคืนในฐานลาภมิควรได้ เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้ยังไม่เกิน ๑ ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
ปัญหาสุดท้ายคือโจทก์ชำระหนี้แทนจำเลยไปโดยสำคัญผิดหรือไม่ เห็นว่า การชำระหนี้โดยรู้อยู่ว่าตนไม่มีความผูกพันที่จะต้องชำระตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๐๗ นั้น ต้องถือหลักว่ารู้หรือไม่รู้ตามความรู้เห็นของผู้ชำระเป็นประมาณ ไม่ถือเอาผลในกฎหมายว่ามีความผูกพันกันอยู่จริงหรือไม่เป็นเกณฑ์ เพียงแต่ผู้ชำระสำคัญผิดว่าตนมีความผูกพันที่จะต้องชำระหนี้นั้น แม้ตามกฎหมายผู้ชำระจะไม่ต้องผูกพัน ก็จะถือว่าผู้ชำระรู้อยู่แล้วไม่ได้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ชำระหนี้แทนจำเลยไปโดยสำคัญผิด โจทก์ก็ใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๐๙
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น