แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความแบ่งทรัพย์สินกันต่อหน้าศาล แม้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ฮ. ทายาทผู้หนึ่งไม่ได้รับส่วนแบ่งเลย ในขณะที่ทายาทอื่นได้รับส่วนแบ่งกันทุกคนก็ตาม ก็เป็นเรื่องที่ ฮ. จะไปว่ากล่าวเอง โจทก์ไม่มีส่วนได้เสียจากการได้หรือไม่ได้รับมรดกของ ฮ. จึงไม่มีข้ออ้างเป็นเหตุแห่งส่วนได้เสียอันจะอุทธรณ์ฎีกาในปัญหานี้ได้
ย่อยาว
คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน สำนวนแรกโจทก์ฟ้องว่า บิดาของโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตาม ส.ค.๑ ก่อนถึงแก่กรรมได้ยกที่ดินดังกล่าวบางส่วนให้โจทก์ โจทก์ได้ครอบครองทำประโยชน์มาตลอดโดยปลูกบ้าน ขุดสระน้ำ ต่อมาโจทก์ได้ยื่นขอรังวัดออกโฉนดที่ดิน จำเลยยื่นคำคัดค้าน และจำเลยได้ทำละเมิดต่อโจทก์โดยจำเลยกับพวกบุกรุกรื้อถอนทำลายบ้านของโจทก์ และลักเอาทรัพย์ของโจทก์ไป รวมค่าเสียหายเป็นเงิน ๕๗๗,๕๐๐ บาท ขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันทำละเมิดจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าว ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องรบกวน
จำเลยให้การว่า บิดาไม่ได้ยกที่ดินให้โจทก์ แต่ที่ดิน บ้านพัก สระน้ำเป็นของจำเลยที่ให้โจทก์พักอาศัย เพราะโจทก์เป็นน้องชายของจำเลย จำเลยรื้อถอนบ้านเพราะทรุดโทรมและอาจเกิดอันตรายเกี่ยวกับไฟฟ้า โจทก์ไม่มีสิทธิขอรังวัดออกโฉนดที่ดินดังกล่าว จำเลยจึงได้คัดค้าน จำเลยไม่ได้ทำละเมิดต่อโจทก์ หากโจทก์เสียหายทั้งหมดก็ไม่เกิน ๕๕,๐๐๐ บาท ทั้งฟ้องโจทก์เรื่องละเมิดขาดอายุความแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
สำนวนหลังโจทก์ฟ้องว่า บิดาของโจทก์ได้ยกที่ดินตาม ส.ค.๑ ดังกล่าวบางส่วนให้โจทก์ โจทก์ได้ครอบครองทำประโยชน์โดยแผ้วถางและปลูกต้นไม้เต็มเนื้อที่ที่ได้รับมา ต่อมาโจทก์ได้ขอรังวัดออกโฉนดที่ดินที่ได้รับมาแต่จำเลยคัดค้านว่าเป็นของจำเลย ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้บังคับจำเลยเพิกถอนคำคัดค้านการรังวัดที่ดินของโจทก์ และห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับการขอออกโฉนดที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นของจำเลย ซึ่งจำเลยครอบครองทำประโยชน์มานานประมาณ ๒๐ ปี แล้ว ทั้งโจทก์ไม่ได้ฟ้องคดีภายใน ๑ ปี จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาโจทก์ จำเลย นายถวัลย์ อภิชัยกุล นายหลักกุ่ยหรือธีรศักดิ์ อภิชัยกุล นายสมชัย อภิชัยกุล นางลัดดา อภิชัยกุล นางอมรรัตน์ เหลาตุลา ทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม คืนค่าขึ้นศาลให้โจทก์เป็นกรณีพิเศษเจ็ดในแปดส่วน แต่ให้เหลือไว้ไม่น้อยกว่า ๒๐๐ บาท (ที่ถูกให้เหลือไว้ไม่น้อยกว่าสำนวนละ ๒๐๐ บาท)
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาในประการแรกว่าสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ ๑ ที่ระบุว่าที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๖๒๑๑ ซึ่งนายถวัลย์ อภิชัยกุล เป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ตกลงแบ่งให้โจทก์และทายาทอื่นบางคนตามจำนวนเนื้อที่ที่ระบุไว้ ส่วนที่เหลือให้เป็นของนายถวัลย์ทั้งหมด ขัดกับคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ ๗๓๓/๒๕๔๐ ของศาลชั้นต้น ที่พิพากษาให้นายถวัลย์ส่งคืนโฉนดที่ดังกล่าวและให้โจทก์ใส่ชื่อในโฉนดที่ดินแทนนายถวัลย์ คดีถึงที่สุดแล้ว จึงไม่สามารถนำที่ดินมาแบ่งปันตามสัญญาประนีประนอมยอมความกันได้อีก ขอให้ยกเลิกสัญญาประนีประนอมยอมความเกี่ยกับที่ดินแปลงนี้ และให้ที่ดินกลับสู่สภาพเดิมตามคำพิพากษาดังกล่าวนั้น เห็นว่า ปัญหาข้อนี้โจทก์มิได้อุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ภาค ๑ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ภาค ๑ โจทก์จะยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ วรรคหนึ่ง ที่โจทก์ฎีกาประการต่อมาว่า การแบ่งที่ดินตามสัญญาประนีประนอมยอมความระบุแต่เพียงจำนวนเนื้อที่ที่แบ่งให้แก่โจทก์และบุคคลอื่นเป็นการแบ่งอย่างเลื่อนลอย ไม่ชัดเจน ไม่อาจทราบได้ว่าที่ดินที่ได้รับแบ่งตั้งอยู่ส่วนใด มีอาณาเขตอย่างไร ผู้ได้รับส่วนแบ่งไม่สามารถแบ่งแยกที่ดินกันได้ถูกต้อง จึงไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความได้นั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน และศาลชั้นต้นได้พิพากษาคดีไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น โจทก์ได้อุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้ต่อศาลอุทธรณ์ภาค ๑ โดยมีข้ออ้างในชั้นอุทธรณ์เช่นเดียวกับในชั้นฎีกา อันเป็นข้ออุทธรณ์ที่ไม่เข้าเหตุหนึ่งเหตุใดตามข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๓๘ วรรคสอง ซึ่งโจทก์จะมีสิทธิอุทธรณ์คำพิพากษาได้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ รับวินิจฉัยในปัญหาข้อนี้ตามที่โจทก์อุทธรณ์จึงเป็นการไม่ชอบ และโจทก์ไม่อาจจะฎีกาในปัญหาข้อนี้ต่อมาได้ตามนัยของมาตรา ๒๔๙ วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเช่นกัน ส่วนข้อที่โจทก์ฎีกาในประการสุดท้ายว่า นางฮวย แซ่อึ้ง มารดาของโจทก์เป็นเจ้าของมรดกและทายาทอันชอบด้วยกฎหมาย แต่กลับไม่ได้รับส่วนแบ่งในที่ดินแปลงใดตามสัญญาประนีประนอมยอมความเลย ในขณะที่ทายาทอื่นได้รับส่วนแบ่งกันทุกคน จึงเป็นการขัดต่อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนนั้น เห็นว่า ข้อตกลงแบ่งที่ดินตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว หากจะทำให้นางฮวยไม่ได้รับส่วนแบ่งที่ดินมรดกเลยหรือไม่ก็ตาม ก็เป็นเรื่องที่นางฮวยจะไปว่ากล่าวเอง โจทก์ไม่ส่วนได้เสียจากการได้หรือไม่ได้รับมรดกของนางฮวย จึงไม่มีข้ออ้างเป็นเหตุแห่งส่วนได้เสียอันจะอุทธรณ์ฎีกาในปัญหานี้ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ รับวินิจฉัยในปัญหานั้จึงเป็นการไม่ชอบ และโจทก์ไม่อาจฎีกาในปัญหานี้ได้ตามนัยของมาตรา ๒๔๙ วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเช่นกัน
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ และยกฎีกาโจทก์ คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดในชั้นฎีกาแก่โจทก์ ค่าทนายความชั้นฎีกาให้เป็นพับ.
นายนพพร โพธิรังสิยากร ผู้ช่วยฯ/ย่อสั้น
นายเวสารัช ปราโมช ณ อยุธยา ย่อยาว
นายไพโรจน์ โรจน์อภิรักษ์กุล ตรวจ
นายชินวิทย์ จินดา แต้มแก้ว ผู้ช่วยฯ/ตรวจ