คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 795/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้นโจทก์ได้ส่งต้นฉบับหนังสือสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันที่ปิดอากรแสตมป์ และขีดฆ่าครบถ้วนแล้วเป็นพยาน แม้เดิมจะมิได้ปิดอากรแสตมป์ แต่เมื่อได้ปิดครบถ้วนและขีดฆ่าอากรแสตมป์แล้วก่อนศาลมีคำพิพากษาก็รับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ แม้ไม่ได้เสียเงินเพิ่มอากรก็ตาม
จำเลยทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ไปจากโจทก์และได้รับมอบรถยนต์แล้ว จำเลยอ้างว่าได้คืนรถยนต์แก่โจทก์แล้วจึงมีภาระการพิสูจน์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทน เป็นเงิน ๒๖๓,๐๘๒ บาท และให้ร่วมกันใช้ค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์จำนวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท กับค่าเสียหายอีก เดือนละ ๒๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองจะส่งมอบรถยนต์คืนโจทก์หรือใช้ราคาแทน
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ชำระค่าเช่าซื้อแก่โจทก์ ๙ งวด และเมื่อประมาณเดือนมีนาคม ๒๕๓๒ โจทก์ได้ยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนไปแล้ว จึงไม่ได้รับความเสียหาย สิทธิเรียกร้องค่าเช่าซื้อค้างชำระและค่าขาดประโยชน์ ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทน เป็นเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์แก่โจทก์เป็นเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท กับค่าเสียหายอีกเดือนละ ๔,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์หรือชำระราคาแทนแต่ไม่เกิน ๖ เดือน และให้ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความ ๒,๐๐๐ บาท
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา … ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๒ จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ตามฟ้องไปจากโจทก์ตามหนังสือสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.๓ จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันและยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ตามหนังสือสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.๔ ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ ๑ ประการแรกมีว่า เอกสารหมาย จ.๓ และ จ.๔ รับฟังเป็นพยานหลักฐานได้หรือไม่ เนื่องจากในขณะฟ้องโจทก์แนบสำเนาภาพถ่ายหนังสือสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันดังกล่าวโดยมิได้ปิดอากรแสตมป์มาท้ายคำฟ้อง แต่ในชั้นพิจารณาโจทก์ได้ส่งมอบหนังสือสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันที่ปิดอากรแสตมป์และขีดฆ่าครบถ้วนแล้วเป็นยาน จำเลยที่ ๑ อ้างว่า โจทก์ได้เรียกเงินค่าแสตมป์ไปจากจำเลยแล้วตั้งแต่วันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๒ จนถึงวันฟ้องเป็นเวลา ๘ ปี ๕ เดือน รัฐต้องขาดรายได้ โจทก์จะต้องนำเอกสารดังกล่าวไปให้เจ้าหน้าที่กรมสรรพากรปรับก่อนจึงจะใช้เป็นพยานหลักฐานได้ เห็นว่า ประมวลรัษฏากร มาตรา ๑๑๘ บัญญัติว่า “ตราสารใดไม่ติดแสตมป์บริบูรณ์จะใช้ต้นฉบับ คู่ฉบับ คู่ฉีก หรือสำเนาเอกสารนั้นเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ จนกว่าจะได้เสียอากรโดยปิดแสตมป์ครบจำนวนตามอัตราในบัญชีท้ายหมวดนี้และขีดฆ่าแล้ว …” ดังนี้ แม้เดิมสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันตาม เอกสารหมาย จ.๓ และ จ.๔ มิได้ปิดอากรแสตมป์ แต่เมื่อได้ปิดครบถ้วนและขีดฆ่าอากรแสตมป์แล้ว ก่อนศาลมี คำพิพากษาก็รับฟังได้แม้ไม่ได้เสียเงินเพิ่มอากรก็ตาม ฎีกาของจำเลยที่ ๑ ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ ๑ ประการต่อมามีว่า จำเลยที่ ๑ ได้คืนรถยนต์คันที่เช่าซื้อในคดีนี้แก่โจทก์แล้ว จำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องรับผิดชอบใช้ค่าเสียหายใด ๆ แก่โจทก์อีกหรือไม่ โดยจำเลยที่ ๑ นำสืบว่า จำเลยที่ ๑ เช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์ ๒ คัน รถยนต์ทั้ง ๒ คัน ชำรุด จึงติดต่อให้โจทก์มานำรถยนต์กลับคืนไปเมื่อประมาณเดือนมีนาคม ๒๕๓๓ เห็นว่า ข้อเท็จจริงดังกล่าวมีตัวจำเลยที่ ๑ มาเบิกความลอย ๆ ไม่มีพยานหลักฐานการส่งมอบรถยนต์คันที่เช่าซื้อในคดีนี้คืนโจทก์แต่อย่างใด โจทก์เพียงแต่รับว่าได้รับรถยนต์อีกคันหนึ่งคืนไปเท่านั้น จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ในคดีนี้มาจากโจทก์และได้รับมอบรถยนต์แล้ว จำเลยที่ ๑ อ้างว่าได้คืนรถยนต์แก่โจทก์แล้วจึงมีภาระการพิสูจน์ นอกจากจำเลยที่ ๑ จะไม่สามารถนำสืบได้ตามที่กล่าวอ้างแล้ว นายเรวัต มานะจิตต์ ทนายความของจำเลยที่ ๑ ยังมีหนังสือ ลงวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๔๐ ถึงโจทก์ว่า จำเลยที่ ๑ จำต้องยึดหน่วงรถยนต์คันดังกล่าวไว้ก่อน แสดงให้ว่า จำเลยที่ ๑ ยังไม่ได้คืนรถยนต์แก่โจทก์
พิพากษายืน .

Share