คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 299/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ปัญหาข้อเท็จจริงตามฎีกาของโจทก์ที่ว่า โจทก์ได้ทราบถึงการตายของจำเลยที่ 1 เมื่อใดนั้น ศาลชั้นต้นวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ได้ทราบถึงการตายของจำเลยที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 11 มกราคม 2536 โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์โต้แย้งคัดค้าน ว่าคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นดังกล่าวไม่ถูกต้อง จึงเป็นอันยุติ
อายุความไม่ใช่สภาพแห่งข้อหา โจทก์จึงไม่จำต้องกล่าวมาในคำฟ้องว่าคดีของโจทก์ไม่ขาดอายุความ เพราะเหตุใด
ศาลล่างทั้งสองยังมิได้วินิจฉัยในปัญหาตามฎีกาของโจทก์และคดีต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง ศาลฎีกาย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 243 (1) ประกอบมาตรา 247

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๑๑๒,๖๑๐.๕๙ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๘ ต่อปี ของต้นเงิน ๙๔,๕๖๓.๒๖ บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ระหว่างพิจารณา ความปรากฏต่อศาลชั้นต้นว่าจำเลยที่ ๑ ถึงแก่ความตายก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้ ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งที่รับฟ้องจำเลยที่ ๑ แล้วมีคำสั่งใหม่เป็นไม่รับฟ้องกับจำหน่ายคดีในส่วนของจำเลยที่ ๑ ออกจากสารบบความ
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า… ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง… คดีโจทก์ขาดอายุความ จำเลยที่ ๒ มิได้ยินยอมด้วยในการที่โจทก์ผ่อนเวลาชำระหนี้ให้จำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องรับผิด และโจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๘ ต่อปี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๓๕ จำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญากู้กรุงไทยธนวัฏต่อโจทก์ในวงเงิน ๑๐๗,๐๐๐ บาท โดยมีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันและยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ตามสัญญากู้และสัญญาค้ำประกัน และปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นฉบับลงวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๔๐ ว่า จำเลยที่ ๑ ได้ถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๓๕ และโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๐ มีปัญหา ที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ในประเด็นที่ว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๐ โจทก์เพิ่งทราบถึงการตายของจำเลยที่ ๑ เมื่อวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๔๐ ซึ่งเป็นวันที่จำเลยที่ ๒ ยื่นคำให้การ ดังนั้น จึงต้องถือว่าโจทก์ฟ้องไม่เกิน ๑ ปี นับแต่ทราบว่าจำเลยที่ ๑ ถึงแก่ความตาย คดีโจทก์จึงไม่ขาด อายุความนั้น เห็นว่า เกี่ยวกับปัญหาข้อเท็จจริงที่ว่าโจทก์ได้ทราบถึงการตายของจำเลยที่ ๑ เมื่อใดนั้น ศาลชั้นต้นวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ได้ทราบถึงการตายของจำเลยที่ ๑ ตั้งแต่วันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๓๖ เมื่อโจทก์อุทธรณ์ โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์โต้แย้งคัดค้านว่าคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นดังกล่าวไม่ถูกต้องหรือไม่อย่างไร ปัญหาข้อเท็จจริงที่ว่าโจทก์ได้ทราบถึงการตายของจำเลยที่ ๑ เมื่อใด จึงเป็นอันยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า โจทก์ได้ทราบถึงการตายของจำเลยที่ ๑ ตั้งแต่วันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๓๖ เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ซึ่งต้องห้ามมิให้ คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๘ วรรคหนึ่ง ฎีกาของโจทก์ดังกล่าวข้างต้นนอกจากจะเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงอันต้องห้ามแล้วยังเป็นฎีกาในข้อที่โจทก์มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบ ในศาลอุทธรณ์ภาค ๒ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ วรรคหนึ่ง อีกด้วย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า หลังจากจำเลยที่ ๑ ถึงแก่ความตาย จำเลยที่ ๒ ได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ ไว้ต่อโจทก์ คดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒ จึงไม่ขาดอายุความนั้น ปัญหาข้อนี้ ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ ยังไม่ได้วินิจฉัยให้ โดยเห็นว่าโจทก์มิได้บรรยายมาในคำฟ้อง เป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็น ศาลฎีกาเห็นว่า อายุความไม่ใช่สภาพ แห่งข้อหา โจทก์จึงไม่จำต้องกล่าวมาในคำฟ้องว่าคดีของโจทก์ไม่ขาดอายุความเพราะเหตุใด ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ จึงมิใช่เรื่องฎีกานอกฟ้องนอกประเด็น เมื่อศาลล่างทั้งสองยังมิได้วินิจฉัยในปัญหาข้อนี้และคดีนี้ต้องห้ามมิให้ฎีกา ในข้อเท็จจริง จึงเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ในปัญหาดังกล่าวก่อน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๓ (๑) ประกอบมาตรา ๒๔๗
พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาในปัญหาดังกล่าวข้างต้นแล้วพิพากษาใหม่ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่.

Share