คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8640/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

++ เรื่อง การค้าระหว่างประเทศ เลตเตอร์ออฟเครดิต ++
++ ซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศ
ข้ออุทธรณ์ของจำเลยเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับอำนาจฟ้อง เมื่อจำเลยมิได้หยิบยกข้อเท็จจริงที่ว่าการกระทำของโจทก์เป็นการกระทำการเป็นตัวแทนของธนาคาร ซ. โจทก์จึงต้องฟ้องเรียกเงินที่จ่ายทดรองไปคืนจากธนาคารนั้นตามหลักเรื่องตัวการตัวแทนขึ้นต่อสู้ในคำให้การไว้ ดังนี้ข้อเท็จจริงที่จำเลยอุทธรณ์จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 225 วรรคหนึ่ง
จำเลยนำเลตเตอร์ออฟเครดิตและเอกสารต่าง ๆ ตามที่เลตเตอร์ออฟเครดิตกำหนดไว้พร้อมทั้งตั๋วแลกเงินมามอบให้โจทก์เรียกเก็บค่าสินค้าตามเลตเตอร์ออฟเครดิตแทนจำเลยและขอรับเงินค่าสินค้าไปจากโจทก์ก่อน โดยโจทก์ไม่ได้คิดค่าธรรมเนียมการเรียกเก็บเงินและไม่ได้หักส่วนลดเงินจำนวนที่นำเข้าบัญชีกระแสรายวันให้แก่จำเลยตามสัญญาขายลดตั๋วเงิน โจทก์หักเพียงค่าอากรแสตมป์และค่าไปรษณียากรเท่านั้น ดังนั้น ตั๋วแลกเงินจึงเป็นเพียงเอกสารที่ใช้ประกอบการเรียกเก็บเงินค่าสินค้าตามเลตเตอร์ออฟเครดิตจากธนาคารตัวแทนผู้ซื้อในต่างประเทศ กรณีจึงเป็นเรื่องที่พิพาทกันเกี่ยวกับเงินค่าสินค้าจำนวนตามที่ระบุไว้ในเลตเตอร์ออฟเครดิตซึ่งโจทก์ได้จ่ายทดรองให้แก่จำเลยไปก่อน แม้โจทก์เป็นผู้รับเงินตามตั๋วแลกเงินและโจทก์เป็นผู้สลักหลังตั๋วแลกเงินดังกล่าวก็ตาม ข้อความและการสลักหลังดังกล่าวเป็นเพียงระเบียบและวิธีการปฏิบัติตามประเพณีการค้าระหว่างประเทศในการเรียกเก็บเงินค่าสินค้าจากธนาคารผู้เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตในต่างประเทศเท่านั้น การกระทำของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นการกระทำในฐานะตัวแทนของจำเลยผู้ส่งสินค้า โจทก์จึงไม่เป็นผู้ทรงตั๋วแลกเงินตามกฎหมาย
การที่โจทก์จ่ายเงินล่วงหน้าตามเลตเตอร์ออฟเครดิตให้แก่จำเลยไปก่อนและกฎหมายมิได้กำหนดอายุความในเรื่องนี้ไว้โดยเฉพาะ อายุความฟ้องร้องจึงมีกำหนด 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 164 เดิม หรือมาตรา 193/30 ใหม่
โจทก์ได้แจ้งเหตุขัดข้องที่รับเงินตามเลตเตอร์ออฟเครดิตไม่ได้เพื่อให้จำเลยดำเนินการแก้ไขความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแล้ว การกระทำของโจทก์จึงมิได้ปฏิบัติผิดหน้าที่อย่างร้ายแรง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๒๘ ห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ ๑ ซึ่งมีจำเลยที่ ๒ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการและเป็นลูกค้าของธนาคาร โจทก์แจ้งให้โจทก์ทราบว่า จำเลยที่ ๑ ได้รับโอนสิทธิการส่งสินค้าเสื้อผ้าสตรีออกไปยังผู้ซื้อในต่างประเทศจากบริษัท จี.เปรมจี จำกัด เป็นมูลค่าจำนวน ๒๐,๕๐๐ ดอลลาร์สหรัฐตามเลตเตอร์ออฟเครดิตเลขที่ ๔๑๕๖๕ ต่อมาจำเลยที่ ๑ ส่งสินค้าตามเลตเตอร์ออฟเครดิตดังกล่าวไปยังผู้ซื้อในต่างประเทศแล้ว จำเลยที่ ๑ ได้ออกตั๋วแลกเงินสั่งให้ธนาคารซูมิโตโมแห่งแคลิฟอร์เนีย ส่วนกิจการธนาคาระหว่างประเทศในซานฟรานซิสโก(Tne Sumitomo Bank of California, San Francisco InternationalBanking Division) ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นธนาคารผู้เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตมายังโจทก์จ่ายเงินจำนวน ๒๐,๕๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ ให้แก่โจทก์เมื่อเห็นตั๋วแลกเงิน ต่อมาวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๒๘ จำเลยที่ ๑ นำตั๋วแลกเงินฉบับดังกล่าวพร้อมเอกสารการส่งสินค้ามามอบให้โจทก์เพื่อให้โจทก์ส่งไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารดังกล่าวโดยจำเลยที่ ๑ ขอรับเงินตามตั๋วแลกเงินจากโจทก์ไปก่อน โจทก์จึงจ่ายเงินให้จำเลยที่ ๑ ไปจำนวน ๒๐,๕๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไทยตามอัตราแลกเปลี่ยน ณวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๒๘ เท่ากับ ๒๗.๕๑ บาท ต่อ ๑ ดอลลาร์สหรัฐ เป็นเงิน๕๖๓,๙๕๕ บาท ซึ่งโจทก์ได้หักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ คงเหลือจ่ายให้จำเลยที่ ๑ เป็นเงินจำนวน ๕๖๓,๘๓๒ บาท โดยโจทก์โอนเงินจำนวนดังกล่าวเข้าบัญชีกระแสรายวันเลขที่๑๑๘-๓๑๖๒๕๔๒ ของจำเลยที่ ๑ ที่ธนาคารโจทก์ สาขาสีลม หลังจากนั้นโจทก์ส่งตั๋วแลกเงินพร้อมเอกสารการส่งสินค้าไปเรียกเก็บเงินที่ธนาคารซูมิโตโมดังกล่าวแต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โดยแจ้งว่าเอกสารการส่งสินค้าและสินค้าไม่ถูกต้องทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์เคยมีหนังสือทวงถามให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้คืนแก่โจทก์แล้ว แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์เป็นต้นเงินจำนวน ๕๖๓,๙๕๕ บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่โจทก์จ่ายเงินให้จำเลยที่ ๑ ไปเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๒๘ จนถึงวันฟ้องเป็นเงินดอกเบี้ยจำนวน ๔๒๓,๐๘๒.๑๓ บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวน๙๘๗,๐๓๗.๑๓ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ในต้นเงินจำนวน๕๖๓,๙๕๕ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์เป็นผู้ทรงตั๋วแลกเงินในฐานะผู้รับเงิน มิใช่ผู้เรียกเก็บเงินแทนจำเลยที่ ๑ เมื่อโจทก์มิได้ฟ้องจำเลยที่ ๑ ผู้สั่งจ่ายภายในกำหนดเวลา ๑ ปี นับแต่วันที่ลงในตั๋วแลกเงินคือวันที่ ๓ เมษายน ๒๕๒๘ คดีของโจทก์จึงขาดอายุความ โจทก์ไม่ทำคำคัดค้านตามกฎหมายจึงเสียสิทธิที่จะไล่เบี้ยเอาจากจำเลยที่ ๑ ผู้สั่งจ่าย โจทก์คิดดอกเบี้ยไม่ถูกต้องและสิทธิเรียกร้องดอกเบี้ยขาดอายุความแล้ว โจทก์ไม่เคยแจ้งให้จำเลยทั้งสองทราบมาก่อนว่าธนาคารซูมิโตโมแห่งแคลิฟอร์เนีย ส่วนกิจการธนาคารระหว่างประเทศในซานฟรานซิสโกได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยทั้งสองเพิ่งทราบตามหนังสือทวงถาม ลงวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ถือว่าโจทก์ผู้ประกอบการค้ากระทำผิดหน้าที่อย่างร้ายแรง ความเสียหายที่เกิดขึ้นโจทก์เป็นผู้ก่อขึ้นเอง จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ทั้งโจทก์ไม่ได้คืนเอกสารต่าง ๆ ที่จำเลยทั้งสองมอบให้เพื่อให้มีการคืนสินค้าที่จำเลยส่งไปขายให้แก่ผู้ซื้อในต่างประเทศ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน๙๘๗,๐๓๗.๑๓ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ในต้นเงินจำนวน ๕๖๓,๙๕๕บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน ๕๖๓,๙๕๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๐ เมษายน๒๕๓๓ จนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อแรกว่า ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์ตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองนั้นชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๒๕ วรรคสองหรือไม่ จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า การที่โจทก์ทดรองจ่ายเงินตามตั๋วแลกเงินให้จำเลยที่ ๑ ไปก่อน แล้วโจทก์ส่งตั๋วแลกเงินที่ธนาคารซูมิโตโมแห่งแคลิฟอร์เนีย ส่วนกิจการธนาคารระหว่างประเทศในซานฟรานซิสโกมีภาระผูกพันต้องจ่ายเงินให้แก่จำเลยที่ ๑ ไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารดังกล่าว เป็นการกระทำการเป็นตัวแทนของธนาคารดังกล่าว เมื่อโจทก์ไม่ได้รับเงินที่ออกทดรองจ่ายไปคืนโจทก์ต้องเรียกร้องเงินดังกล่าวเอาจากธนาคารนั้นซึ่งเป็นตัวการตามหลักในเรื่องตัวการตัวแทน มิใช่เรียกร้องเอาจากจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นบุคคลภายนอก โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง แต่ศาลอุทธรณ์กลับวินิจฉัยว่า แม้ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องจะเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนก็ตาม แต่การที่จำเลยทั้งสองมิได้ยกปัญหาดังกล่าวขึ้นในศาลชั้นต้นนั้น ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเป็นพฤติการณ์ไม่เปิดช่องให้กระทำได้หรือเพราะเหตุเป็นเรื่องไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติว่าด้วยกระบวนพิจารณาชั้นอุทธรณ์ อุทธรณ์ในข้อนี้ของจำเลยทั้งสองจึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา๒๒๕ จึงไม่วินิจฉัยให้ เป็นการวินิจฉัยคดีไม่ต้องด้วยเจตนารมณ์ของมาตรา ๒๒๕วรรคสอง ที่บัญญัติอนุญาตให้คู่ความยกขึ้นอ้างได้ไม่ว่าในชั้นอุทธรณ์หรือชั้นฎีกาโดยไม่จำเป็นต้องมีสาเหตุใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นพฤติการณ์ที่ไม่เปิดช่องให้กระทำได้หรือไม่สามารถปฏิบัติตามบทบัญญัติว่าด้วยกระบวนพิจารณาชั้นอุทธรณ์หรือไม่ก็ตามเพราะเรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่สำคัญเห็นว่า แม้อำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่คู่ความสามารถหยิบยกขึ้นอ้างได้ในชั้นอุทธรณ์หรือฎีกาก็ตาม แต่ข้ออุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองดังกล่าวเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับอำนาจฟ้อง เมื่อจำเลยทั้งสองมิได้หยิบยกข้อเท็จจริงที่ว่าการกระทำของโจทก์เป็นการกระทำการเป็นตัวแทนของธนาคารซูมิโตโมดังกล่าว โจทก์จึงต้องฟ้องเรียกเงินที่จ่ายทดรองไปคืนจากธนาคารนั้นตามหลักเรื่องตัวการตัวแทนขึ้นต่อสู้ในคำให้การไว้ ดังนี้ข้อเท็จจริงที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยบทบัญญัติมาตรา ๒๒๕ วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยข้ออุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล
ปัญหาตามฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อต่อไปมีว่า การที่จำเลยที่ ๑นำตั๋วแลกเงินเอกสารหมาย จ.๖ มอบให้ไว้แก่โจทก์แล้วรับเงินไปเป็นการขายลดตั๋วแลกเงิน โจทก์จึงเป็นผู้ทรงตั๋วแลกเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๙๐๔หรือไม่ และคดีของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ จำเลยทั้งสองฎีกาข้อนี้ว่า การจะพิจารณาว่าเป็นการขายลดตั๋วเงินหรือไม่นั้นต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงในสำนวนว่าพฤติการณ์ของคู่กรณีเป็นการขายลดตั๋วเงินหรือไม่ ซึ่งข้อเท็จจริงในสำนวนปรากฏชัดเจนตามเลตเตอร์ออฟเครดิตเอกสารหมาย จ.๔ และคำแปลเอกสารหมาย จ.๕ แผ่นที่ ๒ระบุว่า “จำนวนเงินตามตั๋วแลกเงินจะต้องถูกสลักหลังโดยธนาคารผู้รับซื้อตั๋วทางด้านหลังของเครดิต” และด้านหลังของเอกสารหมาย จ.๔ ที่ระบุว่า “จำนวนเงินที่รับซื้อตั๋ว” และตั๋วแลกเงินเอกสารหมาย จ.๖ ระบุว่า “โจทก์เป็นผู้รับเงิน” รวมทั้งโจทก์ได้สลักหลังตั๋วแลกเงินเอกสารหมาย จ.๖ ด้วย อีกทั้งตามหนังสือทวงถามเอกสารหมาย จ.๑๖ ก็มีใจความว่า ให้จำเลยที่ ๑ ชำระหนี้ที่จำเลยที่ ๑ นำตั๋วแลกเงินมาขายเพื่อแลกเงินสดไปจากโจทก์ ข้อความดังกล่าวทั้งหมด จึงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ ๑ ขายลดตั๋วแลกเงินเอกสารหมาย จ.๖ ให้แก่โจทก์ โจทก์จึงเป็นผู้ทรงตั๋วแลกเงินตามกฎหมายโจทก์จะนำสืบพยานบุคคลเพิ่มเติม ตัดทอน หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารดังกล่าวไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๔ เห็นว่าข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ ๑ นำเลตเตอร์ออฟเครดิตและเอกสารต่าง ๆตามที่เลตเตอร์ออฟเครดิตเอกสารหมาย จ.๔ กำหนดไว้ พร้อมทั้งตั๋วแลกเงินเอกสารหมาย จ.๖ มามอบให้โจทก์เรียกเก็บค่าสินค้าตามเลตเตอร์ออฟเครดิตแทนจำเลยทั้งสองและขอรับเงินค่าสินค้าไปจากโจทก์ก่อนดังที่ระบุไว้ในเอกสารการโอนเงินเข้าบัญชีของจำเลยที่ ๑ หมาย จ.๘ และคำแปลเอกสารหมาย จ.๙ โดยโจทก์ไม่ได้คิดค่าธรรมเนียมการเรียกเก็บเงินและไม่ได้หักส่วนลดเงินจำนวนที่นำเข้าบัญชีกระแสรายวันให้แก่จำเลยทั้งสองตามสัญญาขายลดตั๋วเงินแต่อย่างใด โจทก์หักเพียงค่าอากรแสตมป์และค่าไปรษณียากรรวมเป็นเงิน ๑๒๓ บาท เท่านั้น ดังนั้น ตั๋วแลกเงินจึงเป็นเพียงเอกสารที่ใช้ประกอบการเรียกเก็บเงินค่าสินค้าตามเลตเตอร์ออฟเครดิตจากธนาคารตัวแทนผู้ซื้อในต่างประเทศ กรณีจึงเป็นเรื่องที่พิพาทกันเกี่ยวกับเงินค่าสินค้าจำนวนตามที่ระบุไว้ในเลตเตอร์ออฟเครดิตซึ่งโจทก์ได้จ่ายทดรองให้แก่จำเลยทั้งสองไปก่อนดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย แม้เอกสารต่าง ๆ ดังกล่าวที่จำเลยทั้งสองยกขึ้นโต้แย้งจะระบุทำนองว่าโจทก์เป็นผู้รับเงินตามตั๋วแลกเงินและโจทก์เป็นผู้สลักหลังตั๋วแลกเงินดังกล่าวก็ตามข้อความและการสลักหลังดังกล่าวก็เป็นเพียงระเบียบและวิธีการปฏิบัติตามประเพณีการค้าระหว่างประเทศในการเรียกเก็บเงินค่าสินค้าจากธนาคารผู้เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตในต่างประเทศเท่านั้น การกระทำของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นการกระทำในฐานะตัวแทนของจำเลยที่ ๑ ผู้ส่งสินค้า และฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ ๑ ขายลดตั๋วแลกเงินอันจะทำให้ถือว่าโจทก์เป็นผู้ทรงตั๋วแลกเงินตามกฎหมาย ทั้งกรณีมิใช่เป็นการนำสืบพยานบุคคลเปลี่ยนแปลงเอกสารดังที่จำเลยทั้งสองฎีกา เพราะมิใช่เป็นกรณีที่กฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา๙๔ แต่เป็นเรื่องการวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานตามปกติตามหลักในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๐๔ เมื่อฟังว่าโจทก์จ่ายเงินล่วงหน้าตามเลตเตอร์ออฟเครดิตให้แก่จำเลยทั้งสองไปก่อนและกฎหมายมิได้กำหนดอายุความในเรื่องนี้ไว้โดยเฉพาะอายุความฟ้องร้องคดีนี้จึงมีกำหนด ๑๐ ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๖๔ เดิม หรือมาตรา ๑๙๓/๓๐ ใหม่ โจทก์จ่ายเงินดังกล่าวให้จำเลยทั้งสองไปเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๒๘ และโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๓๘ ยังไม่เกินกำหนด ๑๐ ปี คดีของโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ
มีปัญหาตามฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อสุดท้ายว่า ที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดตามตั๋วแลกเงินตามคำฟ้องต่อโจทก์หรือไม่เพียงใด ครอบคลุมประเด็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่แจ้งให้จำเลยทั้งสองทราบถึงข้อขัดข้องที่ธนาคารซูมิโตโมแห่งแคลิฟอร์เนีย ส่วนกิจการธนาคารระหว่างประเทศในซานฟรานซิสโกไม่ชำระเงินให้แก่โจทก์และไม่ส่งเอกสารต่าง ๆ คืนจำเลยทั้งสอง ถือว่าโจทก์ในฐานะผู้ประกอบการค้าปฏิบัติผิดหน้าที่อย่างร้ายแรงหากโจทก์แจ้งให้จำเลยทั้งสองทราบ จำเลยทั้งสองย่อมทำการแก้ไขความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ ความเสียหายที่เกิดขึ้นจึงเป็นความเสียหายที่โจทก์ก่อขึ้นเอง จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ เห็นว่าประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดดังกล่าวแบ่งความหมายได้เป็น ๒ ตอน ตอนที่ ๑ เป็นเรื่องที่กำหนดว่า จำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดตามตั๋วแลกเงินหรือไม่ ตอนที่ ๒ เป็นเรื่องที่แปลความได้ว่า หากจะต้องรับผิดจะต้องรับผิดเพียงใด เมื่อได้วินิจฉัยข้างต้นแล้วว่าตั๋วแลกเงินตามคำฟ้องเป็นเพียงเอกสารที่ใช้ประกอบการเรียกเก็บเงินค่าสินค้าตามเลตเตอร์ออฟเครดิตจากธนาคารตัวแทนผู้ซื้อในต่างประเทศ ความรับผิดของจำเลยทั้งสองตามตั๋วแลกเงินจึงเป็นความรับผิดที่เกี่ยวเนื่องกับการเรียกเก็บเงินดังกล่าว ดังนี้ ข้อต่อสู้ตามคำให้การของจำเลยทั้งสองดังที่จำเลยทั้งสองอ้างในฎีกาจึงอยู่ในประเด็นที่ศาลต้องวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสองต้องรับผิดตามตั๋วแลกเงินตามคำฟ้องต่อโจทก์หรือไม่ด้วย การที่ศาลล่างทั้งสองมิได้ยกประเด็นตอนที่ ๒ ขึ้นวินิจฉัยจึงเป็นการไม่หยิบยกประเด็นข้อพิพาทขึ้นวินิจฉัยให้ครบทุกประเด็น ขัดกับบทบัญญัติมาตรา ๑๔๑ (๕) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่บัญญัติว่า คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลให้ทำเป็นหนังสือและต้องกล่าวหรือแสดง… (๕) คำวินิจฉัยของศาลในประเด็นแห่งคดีตลอดทั้งค่าฤชาธรรมเนียมแต่ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์และจำเลยทั้งสองได้นำสืบเกี่ยวกับประเด็นเรื่องนี้แล้วจึงเห็นสมควรวินิจฉัยประเด็นเรื่องนี้ไปเลย โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยเสียก่อน และวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ได้แจ้งเหตุขัดข้องที่รับเงินไม่ได้เพื่อให้จำเลยทั้งสองดำเนินการแก้ไขความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแล้ว การกระทำของโจทก์จึงมิได้ปฏิบัติผิดหน้าที่อย่างร้ายแรงดังที่จำเลยทั้งสองยกขึ้นต่อสู้
พิพากษายืน.

Share