แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
++ เรื่อง ความผิดเกี่ยวกับเอกสาร ++
++ จำเลยฎีกา ++
++ ศาลฎีกาพิพากษา …
++
++ คำพิพากษาสั่งออก – รอย่อ
++ แจ้งการอ่านแล้ว / โปรดติดต่อห้องบริการเอกสารสำเนาคำพิพากษา (ห้องสมุด) ชั้น 4, 5 ++
++
++ (ทดสอบย่อจากชุดพิเศษ)
ในสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 981/2536 ของศาลชั้นต้น นายวิรัตน์ ตั้งอดุลย์รัตน์ผู้เสียหายไม่ได้ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องแล้ว โจทก์และจำเลยที่ 8 มิได้ยื่นอุทธรณ์ นายวิรัตน์ ผู้เสียหายในคดีดังกล่าวจึงไม่มีสิทธิที่จะยื่นอุทธรณ์ การที่นายวิรัตน์ซึ่งเป็นโจทก์ร่วมในสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 980/2536 ยื่นอุทธรณ์ฉบับลงวันที่ 11 ตุลาคม 2536 โดยอุทธรณ์ทั้งสองสำนวนนั้น อุทธรณ์เกี่ยวกับสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่981/2536 จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่มีอำนาจที่จะพิจารณาพิพากษาดังกล่าวได้ คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 เกี่ยวกับจำเลยที่ 8 จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง และไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ 8 ต่อไป
คดีคงขึ้นมาสู่การวินิจฉัยของศาลฎีกาเฉพาะข้อหาฐานใช้เอกสารราชการปลอมเท่านั้น ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติในเบื้องต้นตามที่ศาลล่างทั้งสองได้วินิจฉัยโดยคู่ความมิได้อุทธรณ์ฎีกาโต้แย้งว่า เมื่อวันที่ 28 และ 29 มีนาคม 2533 จำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 8 ได้ร่วมกันนำที่ดินที่มีชื่อของจำเลยที่ 5 ที่ 6 นางนาค คบทองหลาง นายหลอมสอนครบุรี และจำเลยที่ 8 ในใบ ภ.บ.ท.5 เป็นเจ้าของตามเอกสารหมาย จ.17 จ.11 จ.4 จ.23 และ จ.30 มาทำสัญญาการซื้อขายให้แก่โจทก์ร่วมตามเอกสารหมาย จ.8 จ.15 จ.20 จ.26 และ จ.35จำเลยที่ 4 ได้มอบเอกสารหมาย จ.17 จ.11 จ.4 จ.23 และ จ.30ซึ่งเป็นเอกสารราชการ หนังสือมอบอำนาจ สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านตามเอกสารหมาย จ.2 จ.3 จ.5 ถึง จ.7 จ.9จ.10 จ.12 ถึง จ.14 จ.16 จ.18 จ.19 จ.21 จ.22 จ.24 จ.25และ จ.27 ถึง จ.34 ให้แก่โจทก์ร่วม
มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 7 ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 7 ใช้เอกสารราชการปลอมหรือไม่
พฤติการณ์ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ทราบมาก่อนแล้วว่าเอกสารหมาย จ.4 จ.11 จ.17จ.23 และ จ.30 เป็นเอกสารราชการปลอม
ส่วนจำเลยที่ 3 นั้น เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2533 จำเลยที่ 1 ได้บอกโจทก์ร่วมว่าที่ดินที่มีใบ ภ.บ.ท.5ให้ผู้ใหญ่บ้านรับรองก็สามารถซื้อได้แล้ว โจทก์ร่วมตกลงซื้อที่ดินเพราะจะมีผู้ใหญ่บ้านคือจำเลยที่ 3 มารับรอง จำเลยที่ 3 ได้เข้ามารับรู้เกี่ยวกับการขายที่ดินตั้งแต่วันที่ 9 มกราคม 2533 โดยได้ลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจ เอกสารหมาย จ.2 จ.9 จ.10 จ.14 จ.16 จ.21 จ.22จ.27 จ.29 และ จ.34 ในวันที่ 28 มีนาคม 2533 จำเลยที่ 3 ก็ได้ไปที่บ้านของโจทก์ร่วม ได้ลงลายมือชื่อเป็นพยานในหนังสือสัญญาการซื้อขายทั้ง 5 ฉบับไว้ด้วย ก่อนที่โจทก์ร่วมจะมอบเงินให้แก่จำเลยที่ 1ได้ให้จำเลยที่ 3 ลงลายมือชื่อรับรองด้วย และได้มอบเงินจำนวน 5,000บาท ให้แก่จำเลยที่ 3 เพื่อนำไปชำระภาษีบำรุงท้องที่และทำการโอนชื่อจากเจ้าของที่ดินเดิมมาเป็นชื่อของโจทก์ร่วม
เห็นว่า จำเลยที่ 3 เป็นผู้ปกครองท้องที่มีหน้าที่สำรวจที่ดินในหมู่บ้านตลิ่งชันย่อมทราบดีว่าจำเลยที่ 5ถึงที่ 7 มีที่ดินตามใบ ภ.บ.ท.5 ในท้องที่ของตนหรือไม่ เมื่อใบ ภ.บ.ท.5ของจำเลยที่ 5 ถึงที่ 7 ไม่มีที่ดินอยู่จริง ซึ่งหมายความว่าใบ ภ.บ.ท.5ของจำเลยที่ 5 ถึงที่ 7 เป็นเอกสารราชการปลอม จำเลยที่ 3 ยังลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจในลักษณะเป็นการรับรองว่าที่ดินมีอยู่จริงในวันทำสัญญาซื้อขายที่ดินจำเลยที่ 3 ก็ไปร่วมรับรองตามที่จำเลยที่ 1แจ้งแก่โจทก์ร่วม โจทก์ร่วมเป็นคนต่างท้องที่ไม่ทราบความจริงได้ตกลงซื้อที่ดินจากจำเลยที่ 5 ถึงที่ 7 ก็เพราะเชื่อถือจำเลยที่ 3 ก่อนจะจ่ายเงินให้จำเลยที่ 1 ก็ให้จำเลยที่ 3 ลงลายมือชื่อรับรอง ได้มอบเงิน 5,000บาท ให้แก่จำเลยที่ 3 เพื่อนำไปเสียภาษีบำรุงท้องที่ จำเลยที่ 3 รับเงินไว้ทั้ง ๆ ที่ทราบดีว่าที่ดินดังกล่าวไม่มี และให้จำเลยที่ 3 จัดการโอนที่ดินใส่ชื่อโจทก์ร่วม การที่โจทก์ร่วมมอบหมายให้จำเลยที่ 3 ไปกระทำการดังกล่าวก็เพราะเชื่อถือจำเลยที่ 3 นั่นเอง การกระทำของจำเลยที่ 3จึงเป็นการช่วยเหลือในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อน และขณะกระทำความผิด จำเลยที่ 3 จึงเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1ที่ 4 ถึงที่ 7
ย่อยาว
เรื่อง ความผิดเกี่ยวกับเอกสาร
จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ถึงที่ ๘ ฎีกาคัดค้าน คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ลงวันที่ ๑ เดือน มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๓๗
คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันโดยเรียกจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๗ ในสำนวนแรกว่า จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๗ และเรียกจำเลยในสำนวนหลังว่า จำเลยที่ ๘
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องมีใจความว่า เมื่อระหว่างวันที่ ๑ตุลาคม ๒๕๒๔ เวลากลางวัน ถึงวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓ เวลากลางวันติดต่อกันตลอดมา จำเลยทั้งแปดกับพวกอีก ๑ คน ร่วมกันปลอมใบภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท.๕) ท่อนที่มอบให้เจ้าของที่ดินซึ่งเป็นเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการขึ้นทั้งฉบับรวม ๕ ฉบับ คือ ฉบับเลขสำรวจที่๑๖/๒๕๒๙ เนื้อที่ ๒๗๑ ไร่ ๑ งาน เลขสำรวจที่ ๑๒๘ เนื้อที่ ๑๒๕ ไร่๓ งาน ๑๐ วา เลขสำรวจที่ ๒๖๔ เนื้อที่ ๑๗๒ ไร่ เลขสำรวจที่ ๑๒๖เนื้อที่ ๕๕ ไร่ ๒ งาน ๓๐ วา และฉบับเลขสำรวจที่ไม่ปรากฏชัด ลงวันที่๒๔ ตุลาคม ๒๕๒๙ เนื้อที่ ๓๗๕ ไร่ ที่ดินดังกล่าวตั้งอยู่หมู่ที่ ๑๐ ตำบลจระเข้หิน อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่นายอำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา นายวิรัตน์ตั้งอดุลย์รัตน์ กระทรวงมหาดไทยและประชาชน เพื่อให้บุคคลดังกล่าวหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง และระหว่างวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓เวลากลางวัน ถึงวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๓๓ เวลากลางวันติดต่อกันตลอดมาวันเวลาเดือนปีใดไม่ปรากฏชัด จำเลยทั้งแปดกับพวกอีก ๑ คน ร่วมกันใช้และอ้างใบภาษีบำรุงท้องที่ทั้ง ๕ ฉบับ ที่ทำปลอมขึ้นต่อนายวิรัตน์ผู้เสียหายเพื่อเสนอขายที่ดินแก่ผู้เสียหายในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย กระทรวงมหาดไทยและประชาชน และระหว่างวันเวลาดังกล่าวจำเลยทั้งแปดกับพวกได้ร่วมกันหลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่า นางนาค คบทองหลาง เป็นเจ้าของที่ดินตามใบภาษีบำรุงท้องที่ฉบับเลขสำรวจที่ ๑๖/๒๕๒๙ มีจำเลยที่ ๗ เป็นทายาท จำเลยที่ ๖เป็นเจ้าของที่ดินตามใบภาษีบำรุงท้องที่ฉบับเลขสำรวจที่ ๑๒๘ จำเลยที่ ๕เป็นเจ้าของที่ดินตามใบภาษีบำรุงท้องที่ฉบับเลขสำรวจที่ ๒๖๔ นายหลอมสอนครบุรี เป็นเจ้าของที่ดินตามใบภาษีบำรุงท้องที่ฉบับเลขสำรวจที่ ๑๒๖และจำเลยที่ ๘ เป็นเจ้าของที่ดินตามใบภาษีบำรุงท้องที่ฉบับลงวันที่ ๒๔ตุลาคม ๒๕๒๙ จำเลยทั้งแปดกับพวกมีสิทธิจะขายที่ดินและประสงค์ขายที่ดินทั้ง ๕ แปลง รวมเนื้อที่ ๙๙๘ ไร่เศษ ในราคาไร่ละ ๑,๓๐๐ บาท ให้แก่ผู้เสียหายความจริงจำเลยทั้งแปดกับพวกไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินตามใบภาษีบำรุงท้องที่ทั้ง ๕ ฉบับ ที่ทำปลอมขึ้น และตำแหน่งที่ดินที่นำชี้ให้ผู้เสียหายดูก็เป็นที่ดินอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติทับลานซึ่งไม่มีผู้ใดมีกรรมสิทธิ์ โดยการหลอกลวงดังกล่าวเป็นเหตุให้ผู้เสียหายหลงเชื่อเข้าทำสัญญาซื้อที่ดินและจ่ายเงินจำนวน ๑,๒๙๗,๔๐๐ บาท ให้จำเลยทั้งแปดกับพวกไป เหตุเกิดที่ตำบลจระเข้หิน อำเภอครบุรี และตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครราชสีมาจังหวัดนครราชสีมา เกี่ยวพันกัน ผู้เสียหายมอบใบภาษีบำรุงท้องที่ปลอมทั้ง๕ ฉบับ หนังสือมอบอำนาจ หนังสือสัญญาซื้อขายที่ดิน สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน สำเนาทะเบียนบ้านและแผนที่ต่าง ๆ รวม ๓๐ แผ่น แก่พนักงานสอบสวนเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓,๒๖๔, ๒๖๕, ๒๖๖, ๒๖๘, ๓๔๑, ๙๑ ให้จำเลยทั้งแปดคืนหรือใช้เงิน๑,๒๙๗,๔๐๐ บาท แก่ผู้เสียหายและริบของกลาง
จำเลยทั้งแปดให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายวิรัตน์ ตั้งอดุลย์รัตน์ ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในสำนวนแรก ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวน
โจทก์ร่วมอุทธรณ์ทั้งสองสำนวน
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๔ถึงที่ ๘ มีความผิดฐานใช้เอกสารราชการปลอมตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๖๕, ๒๖๘ วรรคแรก, ๘๓ ลงโทษจำคุกคนละ ๒ ปี จำเลยที่ ๓มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนในความผิดฐานใช้เอกสารราชการปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๕, ๒๖๘ วรรคแรก, ๘๖ ลงโทษจำคุก ๑ ปี ๔ เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ถึงที่ ๘ ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว เห็นว่า ในสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๙๘๑/๒๕๓๖ ของศาลชั้นต้น นายวิรัตน์ ตั้งอดุลย์รัตน์ผู้เสียหายไม่ได้ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องแล้ว โจทก์และจำเลยที่ ๘ มิได้ยื่นอุทธรณ์ นายวิรัตน์ ผู้เสียหายในคดีดังกล่าวจึงไม่มีสิทธิที่จะยื่นอุทธรณ์ การที่นายวิรัตน์ซึ่งเป็นโจทก์ร่วมในสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๙๘๐/๒๕๓๖ ยื่นอุทธรณ์ฉบับลงวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๓๖ โดยอุทธรณ์ทั้งสองสำนวนนั้น อุทธรณ์เกี่ยวกับสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่๙๘๑/๒๕๓๖ จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ไม่มีอำนาจที่จะพิจารณาพิพากษาดังกล่าวได้ คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค ๑ เกี่ยวกับจำเลยที่ ๘ จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง และไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ ๘ ต่อไป
ทางพิจารณาโจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบว่าเมื่อประมาณต้นเดือนมกราคม ๒๕๓๓ นางสมหมาย ด่างเหลา พาจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นนายหน้าซื้อขายที่ดินมาเสนอขายที่ดินที่ตั้งอยู่หมู่บ้านตลิ่งชัน ตำบลจระเข้หิน อำเภอ-ครบุรี จังหวัดนครราชสีมา เนื้อที่ประมาณ ๑,๐๐๐ ไร่ ราคาไร่ละ ๑,๓๐๐บาท แก่โจทก์ร่วม ต่อมาเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๓๓ จำเลยที่ ๑ และที่ ๔ นำใบ ภ.บ.ท.๕ หลายฉบับและแผนผังที่ดินตามเอกสารหมาย จ.๑ มาให้โจทก์ร่วมดูและนำโจทก์ร่วมไปดูที่ดิน โจทก์ร่วมตกลงซื้อที่ดินด้านติดถนนรวมเนื้อที่ ๙๙๘ ไร่ ได้นัดทำสัญญาซื้อขายในวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๓๓เวลาประมาณ ๙ นาฬิกา ที่บ้านของโจทก์ร่วม ครั้นถึงวันที่ ๒๘ มีนาคม๒๕๓๓ จำเลยที่ ๑ และที่ ๔ นำจำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้าน จำเลยที่ ๕ถึงที่ ๗ ทายาทผู้รับมรดกของนางนาค คบทองหลาง และนายหลอมสอนครบุรี ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินมาทำสัญญาซื้อขายที่ดินกับโจทก์ร่วมโดยจำเลยที่ ๓ ลงชื่อเป็นพยานในสัญญา ตามเอกสารหมาย จ.๘ จ.๑๕จ.๒๐ และ จ.๒๖ จำเลยที่ ๔ นำใบ ภ.บ.ท.๕ จำนวน ๕ ฉบับ รวมเนื้อที่ ๙๙๘ ไร่ ตามเอกสารหมาย จ.๔ จ.๑๑ จ.๑๗ จ.๒๓ และจ.๓๐ สำเนาทะเบียนบ้าน สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน และหนังสือมอบอำนาจของเจ้าของที่ดินมอบแก่โจทก์ร่วม จากนั้นจำเลยที่ ๑ ที่ ๓ถึงที่ ๗ นำโจทก์ร่วมไปดูที่ดินและให้เจ้าของที่ดินชี้ที่ดินแปลงที่ขาย วันรุ่งขึ้นจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ พาจำเลยที่ ๘ มาทำสัญญาซื้อขายตามเอกสารหมายจ.๓๕ และรับเงินค่าที่ดินจากโจทก์ร่วม ต่อมาวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๓๓นายเมาะหรือเหมาะ ใคร่กระโทก กับชาวบ้านหลายคนมาแจ้งให้โจทก์ร่วมทราบว่าที่ดินที่จำเลยทั้งแปดนำมาขายนั้นเป็นของนายเมาะกับชาวบ้านที่ดินของนายเมาะอยู่ติดถนนมีเนื้อที่ ๑๔๕ ไร่ มีหลักฐานเป็นใบ ภ.บ.ท.๖ตามเอกสารหมาย จ.๔๗ จำเลยที่ ๑ เคยมาขอซื้อที่ดินแปลงนี้ตามเอกสารหมาย จ.๔๙ ส่วนของชาวบ้านคนอื่นอยู่ด้านหลังที่ดินของนายเมาะ ห้ามโจทก์ร่วมเข้าไปทำประโยชน์ โจทก์ร่วมได้สอบถามจำเลยที่ ๑ ที่ ๓ถึงที่ ๗ จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ถึงที่ ๗ รับจะคืนเงินให้ แต่ก็ไม่คืน โจทก์ร่วมนำความไปร้องทุกข์ต่อร้อยตำรวจเอกสิทธิโชค เกิดผล พนักงานสอบสวนร้อยตำรวจเอกสิทธิโชคส่งใบ ภ.บ.ท.๕ ที่จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ถึงที่ ๗มอบแก่โจทก์ร่วมไปให้นางวราภรณ์ หญ้าปล้อง เจ้าหน้าที่การเงินและบัญชีอำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา ตรวจเปรียบเทียบกับหลักฐานการสำรวจที่ดินที่เก็บอยู่ที่อำเภอครบุรี ตามเอกสารหมาย จ.๕๐ ถึง จ.๕๔ ปรากฏว่าใบ ภ.บ.ท.๕ ของจำเลยที่ ๕ ที่ ๗ และนายหลอมไม่ตรงกับหลักฐานที่เก็บอยู่อำเภอในส่วนของเลขสำรวจ จำนวนเนื้อที่ จำนวนเงินที่เสียภาษีและลายมือชื่อเจ้าพนักงานประเมิน ส่วนของจำเลยที่ ๖ ไม่มีต้นขั้วหลักฐานเก็บอยู่ที่อำเภอ ร้อยตำรวจเอกสิทธิโชคยังส่งแผนที่เอกสารหมาย จ.๑ไปให้นายคนึง แก้วศรีสังข์ เจ้าพนักงานที่ดินสำนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมาสาขาครบุรี ตรวจเปรียบเทียบกับระวางแผนที่ทางอากาศ ปรากฏว่าที่ดินที่จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ถึงที่ ๗ นำมาขายแก่โจทก์ร่วมนั้นตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติทับลาน ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ถึงที่ ๗ได้ ชั้นสอบสวนจำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ถึงที่ ๗ ให้การปฏิเสธ
จำเลยที่ ๑ นำสืบว่า เมื่อปลายปี ๒๕๓๒ จำเลยที่ ๔ นำใบ ภ.บ.ท.๕ และใบ ภ.บ.ท.๖ จำนวน ๑๐ กว่าฉบับ และแผนที่ตามเอกสารหมาย จ.๑ ของที่ดินตั้งอยู่ทางเข้าหมู่บ้านตลิ่งชัน ตำบลจระเข้หินอำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา ของชาวบ้านเนื้อที่ประมาณ ๒,๐๐๐ ไร่จะขายในราคาไร่ละ ๑,๐๐๐ บาท ให้จำเลยที่ ๑ ช่วยขายให้ หลังจากนั้น๒ วัน จำเลยที่ ๔ ได้พาจำเลยที่ ๑ ไปดูที่ดินชี้ให้ดูรอบ ๆ ต่อมาจำเลยที่ ๑ ได้ไปบอกนางสมหมายว่าชาวบ้านจะขายที่ดิน หลังจากนั้น ๓ ถึง๔ วัน นางสมหมายพาจำเลยที่ ๑ ไปพบโจทก์ร่วมที่บ้าน นางสมหมายได้เสนอขายที่ดินแก่โจทก์ร่วม โจทก์ร่วมบอกว่าขอคิดดูก่อน หลังจากนั้น๑๐ กว่าวัน โจทก์ร่วมและนางสมหมายให้จำเลยที่ ๑ พาไปดูที่ดินโดยนำแผนที่เอกสารหมาย จ.๑ ไปด้วย ได้ชี้ให้โจทก์ร่วมดูที่ดินตามแผนที่เอกสารหมาย จ.๑ ต่อมาเมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๓๓ โจทก์ร่วมให้นางสมหมายไปบอกจำเลยที่ ๑ ว่าจะซื้อที่ดินแต่ขอดูใบ ภ.บ.ท.๕ ตัวจริงก่อน จำเลยที่ ๔ ได้นำใบ ภ.บ.ท.๕ ตัวจริงมาให้ดู โจทก์ร่วมตกลงซื้อที่ดินเนื้อที่๙๐๐ ไร่เศษ ราคาไร่ละ ๑,๓๐๐ บาท แต่ที่ดินไม่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ไม่สามารถทำสัญญาซื้อขายกันที่อำเภอได้ จำเลยที่ ๑ ได้แจ้งให้โจทก์ร่วมทราบว่า จะให้ผู้ใหญ่บ้านมารับรองในการทำสัญญาซื้อขาย วันที่๒๘ มีนาคม ๒๕๓๓ จำเลยที่ ๔ พาจำเลยที่ ๓ ที่ ๕ ถึงที่ ๗ ผู้ที่จะขายที่ดินไปที่บ้านโจทก์ร่วมได้ทำสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์ร่วมกับจำเลยที่ ๕ ถึงที่ ๗ จำเลยที่ ๑ ได้ลงลายมือชื่อเป็นพยานตามเอกสารหมาย จ.๘ จ.๑๕และ จ.๒๐ โจทก์ร่วมให้จำเลยที่ ๕ ถึงที่ ๗ ลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยที่ ๑ เป็นผู้ขายที่ดินแทนตามเอกสารหมาย จ.๒, จ.๑๐และ จ.๑๖ โจทก์ร่วมได้มอบเงินให้จำเลยที่ ๑ นับจ่ายให้แก่เจ้าของที่ดินหลังจากนั้น ๔ ถึง ๕ เดือน โจทก์ร่วมไปบอกจำเลยที่ ๑ ว่าที่ดินที่ทำสัญญาซื้อขายกันนั้นไม่มีอยู่จริง จำเลยที่ ๑ บอกว่าไม่ทราบแต่จะถามจำเลยที่ ๕ ถึงที่ ๗ ให้
จำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๗ ไม่สืบพยาน
พิเคราะห์แล้ว คดีคงขึ้นมาสู่การวินิจฉัยของศาลฎีกาเฉพาะข้อหาฐานใช้เอกสารราชการปลอมเท่านั้น ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติในเบื้องต้นตามที่ศาลล่างทั้งสองได้วินิจฉัยโดยคู่ความมิได้อุทธรณ์ฎีกาโต้แย้งว่า เมื่อวันที่ ๒๘ และ ๒๙ มีนาคม ๒๕๓๓ จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ถึงที่ ๘ ได้ร่วมกันนำที่ดินที่มีชื่อของจำเลยที่ ๕ ที่ ๖ นางนาค คบทองหลาง นายหลอมสอนครบุรี และจำเลยที่ ๘ ในใบ ภ.บ.ท.๕ เป็นเจ้าของตามเอกสารหมาย จ.๑๗ จ.๑๑ จ.๔ จ.๒๓ และ จ.๓๐ มาทำสัญญาการซื้อขายให้แก่โจทก์ร่วมตามเอกสารหมาย จ.๘ จ.๑๕ จ.๒๐ จ.๒๖ และ จ.๓๕จำเลยที่ ๔ ได้มอบเอกสารหมาย จ.๑๗ จ.๑๑ จ.๔ จ.๒๓ และ จ.๓๐ซึ่งเป็นเอกสารราชการ หนังสือมอบอำนาจ สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านตามเอกสารหมาย จ.๒ จ.๓ จ.๕ ถึง จ.๗ จ.๙จ.๑๐ จ.๑๒ ถึง จ.๑๔ จ.๑๖ จ.๑๘ จ.๑๙ จ.๒๑ จ.๒๒ จ.๒๔ จ.๒๕และ จ.๒๗ ถึง จ.๓๔ ให้แก่โจทก์ร่วม มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ถึงที่ ๗ ว่าจำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ถึงที่ ๗ ใช้เอกสารราชการปลอมหรือไม่ โจทก์และโจทก์ร่วมมีตัวโจทก์ร่วม นางเตือนใจ ตั้งอดุลย์รัตน์และนางสมหมาย ด่างเหลา เป็นพยาน โจทก์ร่วมและนางเตือนใจภริยาของโจทก์ร่วมเบิกความว่า เมื่อประมาณต้นเดือนมกราคม ๒๕๓๓ นางสมหมายได้พาจำเลยที่ ๑ มาพบพยานทั้งสองที่บ้าน จำเลยที่ ๑ บอกว่ามีที่ดินแปลงหนึ่งสวย ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านตลิ่งชัน ตำบลจระเข้หิน อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมาเนื้อที่ ๑,๗๐๐ ไร่ จะขายให้แก่โจทก์ร่วมในราคาไร่ละ ๑,๓๐๐ บาท เพื่อเอาไว้ขายต่อ ต่อมาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๓๓ จำเลยที่ ๑ ที่ ๔ และนางสมหมายได้ไปพบโจทก์ร่วม จำเลยที่ ๑ ได้นำใบ ภ.บ.ท.๕ หลายฉบับที่จำเลยที่ ๔ เป็นผู้รวบรวมและแผนที่เอกสารหมาย จ.๑ มาให้โจทก์ร่วมดูโจทก์ร่วมตกลงซื้อที่ดินบริเวณที่ติดถนนเนื้อที่ประมาณ ๑,๐๐๐ ไร่ จำเลยที่ ๑และที่ ๔ ได้พาพยานทั้งสองไปดูที่ดิน และนัดทำสัญญาซื้อขายกันในวันที่ ๒๘มีนาคม ๒๕๓๓ เวลาประมาณ ๙ นาฬิกา ครั้นถึงวันนัด จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ถึงที่ ๗ กับนางสมหมายได้ไปที่บ้านโจทก์ร่วมได้ทำสัญญาการซื้อขายกันไว้ตามเอกสารหมาย จ.๘ จ.๑๕ จ.๒๐ และ จ.๒๖ จำเลยที่ ๔ ได้มอบเอกสารหมาย จ.๒ ถึง จ.๗ จ.๙ ถึง จ.๑๔ จ.๑๖ ถึง จ.๑๙ จ.๒๑ถึง จ.๒๕ และ จ.๒๗ ถึง จ.๓๔ ให้แก่โจทก์ร่วม จำเลยที่ ๑ เบิกความว่า เมื่อปลายปี ๒๕๓๒ จำเลยที่ ๔ ได้นำสำเนาภาพถ่ายใบ ภ.บ.ท.๕หลายฉบับและแผนที่เอกสารหมาย จ.๑ มาให้จำเลยที่ ๑ ขายให้เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๓๓ จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ถึงที่ ๗ ได้ไปที่บ้านโจทก์ร่วมจำเลยที่ ๔ ได้นำใบ ภ.บ.ท.๕ ตัวจริงให้โจทก์ร่วมและได้ทำสัญญาการซื้อขายตามเอกสารหมาย จ.๘ จ.๑๕ และ จ.๒๐ เมื่อทำสัญญาการซื้อขายกันแล้ว โจทก์ร่วมให้จำเลยที่ ๕ ถึงที่ ๗ ทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยที่ ๑เป็นผู้ขายที่ดินแทนตามเอกสารหมาย จ.๒ จ.๑๐ และ จ.๑๖ มีปัญหาประการแรกว่า เอกสารหมาย จ.๔ จ.๑๑ จ.๑๗ จ.๒๓ และ จ.๓๐เป็นเอกสารปลอมหรือไม่ ในเรื่องนี้โจทก์มีนายคนึง แก้วศรีสังข์ นายเมาะใคร่กระโทก และนางวราภรณ์ หญ้าปล้อง เป็นพยาน นายคนึงเบิกความว่าพยานได้นำแผนที่เอกสารหมาย จ.๑ ไปตรวจเปรียบเทียบกับแผนที่ทางอากาศตามเอกสารหมาย จ.๔๐ แล้วปรากฏว่าที่ดินตามแผนที่สังเขปเอกสารหมาย จ.๑ ไม่มีเอกสารสิทธิและตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติทับลาน นายเมาะเบิกความว่า ที่ดินตามแผนที่เอกสารหมาย จ.๑ ตรงบริเวณที่มีกากบาทสีแดง เนื้อที่ ๑๔๕ ไร่ เป็นของพยาน เมื่อปี ๒๕๓๓พยานได้ขายที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ ๑ นางวราภรณ์เบิกความว่า เมื่อประมาณเดือนกันยายน ๒๕๓๓ พยานได้นำเอกสารหมาย จ.๔ จ.๑๑ จ.๑๗จ.๒๓ และ จ.๓๐ ไปตรวจเปรียบเทียบกับหลักฐานการสำรวจที่เก็บไว้ที่อำเภอครบุรี ปรากฏว่าเอกสารหมาย จ.๔ จ.๑๗ จ.๒๓ และ จ.๓๐เลขสำรวจไม่ตรงกับหลักฐานที่เก็บไว้ที่อำเภอครบุรี ตามเอกสารหมายจ.๕๐ ถึง จ.๕๔ ส่วนเอกสารหมาย จ.๑๑ ไม่มีต้นขั้วหลักฐานที่เก็บไว้ที่อำเภอครบุรี จำเลยที่ ๑ เบิกความว่า เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๓๓จำเลยที่ ๔ ได้นำใบ ภ.บ.ท.๕ ตัวจริงให้โจทก์ร่วมดู โจทก์ร่วมจึงตกลงซื้อที่ดิน และได้ทำสัญญาซื้อขายกับจำเลยที่ ๕ ถึงที่ ๗ ตามเอกสารหมายจ.๘ จ.๑๕ และ จ.๒๐ เห็นว่า ใบ ภ.บ.ท.๕ ที่มีชื่อนางนาค คบทองหลางเป็นเจ้าของตามเอกสารหมาย จ.๔ เลขสำรวจ เนื้อที่ดิน จำนวนเงินค่าภาษี และลายมือชื่อเจ้าพนักงานประเมิน ไม่ตรงกัน แบบแสดงรายการที่ดินเอกสารหมาย จ.๕๐ ใบ ภ.บ.ท.๕ ที่มีชื่อของจำเลยที่ ๕ เป็นเจ้าของตามเอกสารหมาย จ.๑๗ เลขสำรวจ เนื้อที่ดิน จำนวนเงินค่าภาษี และลายมือชื่อเจ้าพนักงานประเมิน ไม่ตรงกับแบบแสดงรายการที่ดินเอกสารหมาย จ.๕๑ ใบ ภ.บ.ท.๕ ที่มีชื่อนายหลอม สอนครบุรี เป็นเจ้าของตามเอกสารหมาย จ.๒๓ เนื้อที่ดินและจำนวนเงินค่าภาษีไม่ตรงกับแบบแสดงรายการที่ดินเอกสารหมาย จ.๕๓ ใบ ภ.บ.ท.๕ ที่มีชื่อจำเลยที่ ๘ เป็นเจ้าของตามเอกสารหมาย จ.๓๐ เนื้อที่ดิน จำนวนเงินค่าภาษีและลายมือชื่อเจ้าพนักงานประเมินไม่ตรงกับแบบแสดงรายการที่ดินเอกสารหมาย จ.๕๔และใบ ภ.บ.ท.๕ ที่มีชื่อของจำเลยที่ ๖ เป็นเจ้าของ นางวราภรณ์ได้ตรวจสอบหลักฐานการสำรวจที่เก็บไว้ที่อำเภอครบุรีแล้วปรากฏว่า ไม่มีแบบแสดงรายการที่ดิน (ต้นขั้ว) เก็บไว้ที่อำเภอครบุรี ฝ่ายจำเลยที่ ๑ที่ ๓ ถึงที่ ๗ ไม่ได้นำสืบว่าเอกสารหมาย จ.๔ จ.๑๑ จ.๑๗ จ.๒๓ และจ.๓๐ เป็นเอกสารที่แท้จริง ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า เอกสารหมาย จ.๔จ.๑๑ จ.๑๗ จ.๒๓ และ จ.๓๐ เป็นเอกสารราชการปลอม ปัญหาต่อไปว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ถึงที่ ๗ ทราบหรือไม่ว่าเอกสารราชการดังกล่าวเป็นเอกสารปลอม ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ที่ดินทั้ง ๕ แปลง ที่จำเลยที่ ๑นำมาเสนอขายให้แก่โจทก์ร่วมนั้นคือที่ดินตามแผนผังเอกสารหมาย จ.๑ริมถนนเข้าบ้านตลิ่งชันด้านซ้ายมือ ซึ่งจำเลยที่ ๑ และที่ ๔ อ้างว่าเป็นที่ดินที่มีใบ ภ.บ.ท.๕ ตามเอกสารหมาย จ.๔ จ.๑๑ จ.๑๗ จ.๒๓และ จ.๓๐ ซึ่งเป็นเอกสารราชการปลอม เมื่อวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๓๓จำเลยที่ ๕ ถึงที่ ๗ ได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยที่ ๑ จัดการขายที่ดินตามใบ ภ.บ.ท.๕ ตามเอกสารหมาย จ.๑๗ จ.๑๑ และ จ.๔ แทนและในวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๓๓ จำเลยที่ ๕ และที่ ๖ ที่มีชื่อเป็นเจ้าของที่ดินตามเอกสารหมาย จ.๑๗ และ จ.๑๑ และจำเลยที่ ๗ ทายาทของนางนาคที่มีชื่อเป็นเจ้าของที่ดินตามเอกสารหมาย จ.๔ ได้ไปที่บ้านของโจทก์ร่วม จำเลยที่ ๔ ได้มอบเอกสารหมาย จ.๒ ถึง จ.๗ ของจำเลยที่ ๗เอกสารหมาย จ.๑๐ ถึง จ.๑๔ ของจำเลยที่ ๖ และเอกสารหมาย จ.๑๖ถึง จ.๑๙ และ จ.๒๑ ของจำเลยที่ ๕ ให้แก่โจทก์ร่วม นอกจากนี้จำเลยที่ ๔ ยังได้มอบเอกสารหมาย จ.๒๒ ถึง จ.๒๕ จ.๒๗ และ จ.๒๘ ของนายหลอม สอนครบุรี และเอกสารหมาย จ.๒๙ ถึง จ.๓๔ ของจำเลยที่ ๘ให้แก่โจทก์ร่วม จำเลยที่ ๔ เป็นผู้รวบรวมเอกสารดังกล่าวมาจากจำเลย-ที่ ๕ ถึงที่ ๗ ในเมื่อจำเลยที่ ๕ ถึงที่ ๗ ไม่มีที่ดินตามที่ระบุในเอกสารหมายจ.๑๗ จ.๑๑ และ จ.๔ จึงแสดงว่าจำเลยที่ ๕ ถึงที่ ๗ ทราบดีว่าเอกสารหมาย จ.๑๗ จ.๑๑ และ จ.๔ เป็นเอกสารราชการปลอม จำเลยที่ ๔ผู้รวบรวมเอกสารดังกล่าวมาจากจำเลยที่ ๕ ถึงที่ ๘ ก็ย่อมทราบดีว่าเอกสารหมาย จ.๔ จ.๑๑ จ.๑๗ จ.๒๓ และ จ.๓๐ เป็นเอกสารราชการปลอม สำหรับจำเลยที่ ๑ มีอาชีพเป็นนายหน้าค้าที่ดินก่อนที่จะไปเสนอขายที่ดินให้แก่โจทก์ร่วมก็ย่อมจะตรวจสอบให้ดีว่าที่ดินที่จะนำไปเสนอขายนั้นมีอยู่จริงหรือไม่ จำเลยที่ ๑ ได้ไปเสนอขายที่ดินทั้ง ๕ แปลงให้แก่โจทก์ร่วมเมื่อต้นเดือนมกราคม ๒๕๓๓ โจทก์ร่วมมีความสนใจอยากจะซื้อแต่ยังไม่ตกลงซื้อ วันที่ ๙ มกราคม ๒๕๓๓ จำเลยที่ ๕ ถึงที่ ๘นายหลอมได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้แก่จำเลยที่ ๑ เป็นผู้ขายแทนตามเอกสารหมาย จ.๒ จ.๙ จ.๑๖ จ.๒๒ และ จ.๒๙ ที่จำเลยที่ ๑อ้างว่าได้ทำหนังสือมอบอำนาจหลังจากทำสัญญาการซื้อขายแล้วจึงไม่จริงเนื่องจากเมื่อจำเลยที่ ๑ จะไปเสนอขายที่ดินให้แก่โจทก์ร่วม จำเลยที่ ๑คงเป็นผู้จัดทำหนังสือมอบอำนาจขึ้น พฤติการณ์ดังกล่าวข้างต้นฟังได้ว่าจำเลยที่ ๑ ได้ทราบมาก่อนแล้วว่าเอกสารหมาย จ.๔ จ.๑๑ จ.๑๗จ.๒๓ และ จ.๓๐ เป็นเอกสารราชการปลอม ส่วนจำเลยที่ ๓ นั้น เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๓๓ จำเลยที่ ๑ ได้บอกโจทก์ร่วมว่าที่ดินที่มีใบ ภ.บ.ท.๕ให้ผู้ใหญ่บ้านรับรองก็สามารถซื้อได้แล้ว โจทก์ร่วมตกลงซื้อที่ดินเพราะจะมีผู้ใหญ่บ้านคือจำเลยที่ ๓ มารับรอง จำเลยที่ ๓ ได้เข้ามารับรู้เกี่ยวกับการขายที่ดินตั้งแต่วันที่ ๙ มกราคม ๒๕๓๓ โดยได้ลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจ เอกสารหมาย จ.๒ จ.๙ จ.๑๐ จ.๑๔ จ.๑๖ จ.๒๑ จ.๒๒จ.๒๗ จ.๒๙ และ จ.๓๔ ในวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๓๓ จำเลยที่ ๓ ก็ได้ไปที่บ้านของโจทก์ร่วม ได้ลงลายมือชื่อเป็นพยานในหนังสือสัญญาการซื้อขายทั้ง ๕ ฉบับไว้ด้วย ก่อนที่โจทก์ร่วมจะมอบเงินให้แก่จำเลยที่ ๑ได้ให้จำเลยที่ ๓ ลงลายมือชื่อรับรองด้วย และได้มอบเงินจำนวน ๕,๐๐๐บาท ให้แก่จำเลยที่ ๓ เพื่อนำไปชำระภาษีบำรุงท้องที่และทำการโอนชื่อจากเจ้าของที่ดินเดิมมาเป็นชื่อของโจทก์ร่วม เห็นว่า จำเลยที่ ๓ เป็นผู้ปกครองท้องที่มีหน้าที่สำรวจที่ดินในหมู่บ้านตลิ่งชันย่อมทราบดีว่าจำเลยที่ ๕ถึงที่ ๗ มีที่ดินตามใบ ภ.บ.ท.๕ ในท้องที่ของตนหรือไม่ เมื่อใบ ภ.บ.ท.๕ของจำเลยที่ ๕ ถึงที่ ๗ ไม่มีที่ดินอยู่จริง ซึ่งหมายความว่าใบ ภ.บ.ท.๕ของจำเลยที่ ๕ ถึงที่ ๗ เป็นเอกสารราชการปลอม จำเลยที่ ๓ ยังลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจในลักษณะเป็นการรับรองว่าที่ดินมีอยู่จริงในวันทำสัญญาซื้อขายที่ดินจำเลยที่ ๓ ก็ไปร่วมรับรองตามที่จำเลยที่ ๑แจ้งแก่โจทก์ร่วม โจทก์ร่วมเป็นคนต่างท้องที่ไม่ทราบความจริงได้ตกลงซื้อที่ดินจากจำเลยที่ ๕ ถึงที่ ๗ ก็เพราะเชื่อถือจำเลยที่ ๓ ก่อนจะจ่ายเงินให้จำเลยที่ ๑ ก็ให้จำเลยที่ ๓ ลงลายมือชื่อรับรอง ได้มอบเงิน ๕,๐๐๐บาท ให้แก่จำเลยที่ ๓ เพื่อนำไปเสียภาษีบำรุงท้องที่ จำเลยที่ ๓ รับเงินไว้ทั้ง ๆ ที่ทราบดีว่าที่ดินดังกล่าวไม่มี และให้จำเลยที่ ๓ จัดการโอนที่ดินใส่ชื่อโจทก์ร่วม การที่โจทก์ร่วมมอบหมายให้จำเลยที่ ๓ ไปกระทำการดังกล่าวก็เพราะเชื่อถือจำเลยที่ ๓ นั่นเอง การกระทำของจำเลยที่ ๓จึงเป็นการช่วยเหลือในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อน และขณะกระทำความผิด จำเลยที่ ๓ จึงเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ ๑ที่ ๔ ถึงที่ ๗ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ถึงที่ ๗ ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑เฉพาะที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๘ กับให้ริบใบ ภ.บ.ท.๕ ของกลางทั้ง ๕ ฉบับนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑.