แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การเรียกร้องเอาทางจำเป็นตาม ป.พ.พ. มาตรา 1350 เป็นกรณีที่มีการแบ่งแยกหรือแบ่งโอนที่ดินกันจนเป็นเหตุให้ที่ดินแปลงหนึ่งไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะ หมายความว่า ที่ดินแปลงเดิมก่อนแบ่งแยกมีทางออกไปสู่ทางสาธารณะและการแบ่งแยกเป็นเหตุให้แปลงที่แบ่งแยกแปลงใดแปลงหนึ่งออกไปสู่ทางสาธารณะไม่ได้ เจ้าของที่ดินแปลงนั้นจึงมีสิทธิเรียกร้องเอาทางจำเป็นได้เฉพาะที่ดินแปลงที่แบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันโดยไม่ต้องเสียค่าทดแทน
เมื่อที่ดินโจทก์ตกอยู่ในที่ล้อม โจทก์ย่อมได้รับการคุ้มครองถึงการใช้ยานพาหนะผ่านทางในสภาพที่เป็นถนนได้ มิได้จำกัดเฉพาะให้ใช้ทางเดินได้ด้วยเท้าแต่อย่างเดียว และตามสถานการณ์ความเจริญของบ้านเมืองในปัจจุบันรถยนต์เป็นพาหนะที่จำเป็น และที่พิพาทอยู่ห่างถนนประมาณ 200 เมตร เป็นพื้นที่มีความเจริญมีอาคารสูงหลายอาคารและ ห่างจากย่านการค้าเพียง 500 เมตร หากจะมีการพัฒนาที่ดินเพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดและเป็นการพัฒนาบ้านเมืองไปสู่ความเจริญแล้ว สมควรที่จะเปิดทางเพื่อให้รถยนต์ผ่านเข้าออกได้
โจทก์ฟ้องขอให้เปิดทางภาระจำยอมในที่ดินโฉนดเลขที่ 8822 และเป็นทางจำเป็นสำหรับที่ดินโฉนดเลขที่ 7178 ของโจทก์ที่ถูกที่ดินแปลงอื่นปิดล้อมและไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ เป็นคำฟ้องให้ศาลเลือกวินิจฉัยเอาจากพยานหลักฐาน เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็นแล้ว ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยต่อไปอีกว่าทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอมหรือไม่
โจทก์เป็นผู้มีสิทธิจะผ่านที่ดินของจำเลยตาม ป.พ.พ. มาตรา 1349 วรรคหนึ่ง ต้องใช้ค่าทดแทนให้แก่จำเลย ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่เพื่อความเสียหายอันเกิดแต่เหตุที่มีทางผ่านนั้น ซึ่งค่าทดแทนดังกล่าวไม่ใช่ค่าซื้อที่ดิน เมื่อคำนึงกับความเจริญและความเปลี่ยนแปลงของบ้านเมือง ประกอบกับความเสียหายที่จำเลยได้รับแล้ว สมควรกำหนดค่าทดแทนความเสียหายให้จำเลยเท่ากับร้อยละ 75 ของราคาประเมิน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนรั้วปูนและสิ่งก่อสร้างในที่ดินโฉนดเลขที่ 8822 ตำบลสามเสนใน (บางซื่อฝั่งใต้) อำเภอดุสิต (บางซื่อ) กรุงเทพมหานคร หากจำเลยไม่รื้อถอนให้โจทก์เป็นผู้รื้อถอนโดยจำเลยเป็น ฝ่ายเสียค่าใช้จ่าย ให้จำเลยไปจดทะเบียนภาระจำยอมและทางจำเป็นสำหรับทางเดิน ทางรถยนต์และสาธารณูปโภคอื่น ๆ ในที่ดินโฉนดเลขที่ 8822 ทั้งแปลงแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 7178 ของโจทก์ หากจำเลยไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทน ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นรายเดือนไม่ต่ำกว่าเดือนละ 250,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะปฏิบัติตามคำขอของโจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องและให้โจทก์ใช้ค่าทดแทนที่ดินเป็นเงิน 150,000 บาท แก่จำเลยหรือ ตารางวาละ 100,000 บาท คิดตามเนื้อที่ที่โจทก์ใช้เข้าออก กับให้โจทก์จ่ายค่าทดแทนเป็นรายปีอีกปีละ 50,000 บาท หรือตารางวาละ 50,000 บาท คิดตามเนื้อที่ที่โจทก์ใช้เป็นทางเข้าออกทุกสิ้นปีนับแต่วันที่โจทก์ฟ้องและตลอดเวลา ที่โจทก์ยังใช้ที่ดินของจำเลยอยู่
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้น พิพากษาให้จำเลยเปิดทางผ่านที่ดินโฉนดเลขที่ 8822 ตำบลสามเสนใน (บางซื่อฝั่งใต้) อำเภอดุสิต (บางซื่อ) กรุงเทพมหานคร ของจำเลยเป็นทางกว้าง 3 เมตร จากแนวเขตที่ดินของจำเลยทางทิศตะวันตกไปทางทิศตะวันออก (ตามแนวถนนซอยพหลโยธิน 11 หรือซอยเสนาร่วม) เพื่อใช้เป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 7178 ตำบลสามเสนใน (บางซื่อฝั่งใต้) อำเภอดุสิต (บางซื่อ) กรุงเทพมหานคร ของโจทก์ โดยให้โจทก์มีสิทธิใช้ทางจำเป็นดังกล่าวเพียงเพื่อความจำเป็นในการเข้าออกตามปกติระหว่างที่ดินของโจทก์กับทางสาธารณะ (ถนนซอยพหลโยธิน 11 หรือซอยเสนาร่วม) ให้จำเลยรื้อรั้วปูนและสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่อยู่บนทางจำเป็นดังกล่าวด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลย คำขออื่นของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยเปิดทางผ่านที่ดินโฉนดเลขที่ 8822 ตำบลสามเสนใน (บางซื่อฝั่งใต้) อำเภอดุสิต (บางซื่อ) กรุงเทพมหานคร ของจำเลยเป็นทางกว้าง 4 เมตร จากแนวเขตที่ดินของจำเลยทางทิศตะวันตกไปทางทิศตะวันออกเพื่อให้เป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 7178 ตำบลสามเสนใน (บางซื่อฝั่งใต้) อำเภอดุสิต (บางซื่อ) กรุงเทพมหานคร ของโจทก์เพื่อออกสู่ซอยพหลโยธิน 11 ให้โจทก์ชำระค่าทดแทนแก่จำเลย 150,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามฎีกาของโจทก์ว่าโจทก์มีสิทธิใช้ที่ดินจำเลยเป็นทางผ่านเข้าออกสู่ทางสาธารณะ โดยเป็นทางจำเป็นสำหรับที่ดินของโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1350 หรือไม่ เห็นว่า การเรียกร้องเอาทางจำเป็นตาม ป.พ.พ. มาตรา 1350 นั้น เป็นกรณีที่มีการแบ่งแยกหรือแบ่งโอนที่ดินกันจนเป็นเหตุให้ที่ดินแปลงหนึ่งไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะ ซึ่งหมายความว่า ที่ดินแปลงเดิมก่อนแบ่งแยกมีทางออกไปสู่ทางสาธารณะ และการแบ่งแยกเป็นเหตุให้แปลงที่แบ่งแยกแปลงใดแปลงหนึ่งออกไปสู่ทางสาธารณะไม่ได้ เจ้าของที่ดินแปลงนั้นจึงจะมีสิทธิเรียกร้องเอา ทางจำเป็นได้เฉพาะที่ดินแปลงที่แบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันโดยไม่ต้องเสียค่าทดแทน
เมื่อที่ดินโฉนดเลขที่ 8822 ของจำเลยเป็นที่ดินที่แบ่งแยกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 7181 แม้ที่ดินโฉนดเลขที่ 7181 จะเคยเป็นที่แปลงเดียวกับที่ดินโจทก์มาก่อนก็ตามจะถือโดยอนุโลมว่าที่ดินโจทก์แบ่งแยกมาจากที่ดินจำเลยหาได้ไม่ ซึ่งการแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวทำให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 7178 ตกอยู่ในที่ล้อมของที่ดินแปลงอื่น โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินที่ถูกล้อมอยู่จึงมีสิทธิผ่านที่ดินโฉนดเลขที่ 8822 ของจำเลยไปสู่ถนนพหลโยธิน 11 (ซอยเสนาร่วม) อันเป็นทางสาธารณะได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1349 วรรคหนึ่ง กรณีไม่ต้องด้วยบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 1350 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ต่อไปมีว่า ทางจำเป็นมีขนาดกว้างเท่าใด เห็นว่า สภาพแห่งทางจำเป็นนั้น ป.พ.พ. มาตรา 1349 วรรคสาม บัญญัติว่า “ที่และวิธีทำทางผ่านนั้นต้องเลือกให้พอสมควรแก่ความจำเป็นของผู้มีสิทธิจะผ่าน กับทั้งให้คำนึ่งถึงที่ดินที่ล้อมอยู่ให้เสียหายแต่น้อยที่สุดที่จะเป็นได้ ถ้าจำเป็นผู้มีสิทธิจะผ่านจะสร้างถนนเป็นทางผ่านก็ได้” ซึ่งหมายความว่า เมื่อที่ดินตกอยู่ในที่ล้อม โจทก์ย่อมได้รับการคุ้มครองถึงการใช้ยานพาหนะผ่านทางในสภาพที่เป็นถนนได้ มิได้จำกัดเฉพาะให้ใช้ทางเดินได้ด้วยเท้าแต่อย่างเดียว และตามสภาพการณ์ความเจริญของบ้านเมืองในปัจจุบันรถยนต์เป็นพาหนะที่จำเป็น และที่ดินพิพาทอยู่ห่างถนนพหลโยธินประมาณ 200 เมตร เป็นพื้นที่มีความเจริญ มีอาคารสูงหลายอาคารและห่างจากสะพานควายเพียง 500 เมตร หากจะมีการพัฒนาที่ดินเพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดและเป็นการพัฒนาบ้านเมืองไปสู่ความเจริญแล้วสมควรที่จะเปิดทางเพื่อให้รถยนต์ผ่านเข้าออกได้ เมื่อที่ดินที่โจทก์ขอผ่านเป็นทางจำเป็นนั้นเป็นทางที่ใกล้ทางสาธารณะที่สุดและก่อให้เกิดความเสียหายแก่ที่ดินจำเลยน้อยที่สุด ตามเจตนารมณ์ของกฎหมายในเรื่องทางจำเป็นและเพื่อให้รถยนต์ผ่านเข้าออกได้ สมควรกำหนดให้ทาง จำเป็นกว้าง 6 เมตร ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้ทางจำเป็นกว้าง 4 เมตร ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น ส่วนฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอมหรือไม่นั้น เห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์ โจทก์ฟ้องขอให้เปิดทางภาระจำยอมในที่ดินโฉนดเลขที่ 8822 และเป็นทางจำเป็นสำหรับที่ดินโฉนดเลขที่ 7178 ของโจทก์ที่ถูกที่ดินแปลงอื่นปิดล้อมและไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ เป็นคำฟ้องที่ให้ศาลเลือกวินิจฉัยเอา จากพยานหลักฐาน เมื่อทางพิจารณาได้ความว่า ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นแล้ว จึงเป็นกรณีที่ศาลได้พิจารณาข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในสำนวนรและใช้ดุลพินิจเลือกวินิจฉัยว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็นตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ข้อใดข้อหนึ่งอันเป็นการตรงตามความประสงค์ของโจทก์แล้ว ไม่จำต้องวินิจฉัยต่อไปอีกว่าทางพิพาทเป็นทาง ภาระจำยอมหรือไม่ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น สำหรับประเด็นเรื่องค่าเสียหายที่โจทก์ฎีกาก็ไม่จำต้องวินิจฉัย
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยต่อไปว่า จำเลยมีสิทธิเรียกค่าทดแทนเป็นจำนวนเท่าใด เห็นว่า เมื่อโจทก์เป็นผู้มีสิทธิจะผ่านที่ดินของจำเลยตาม ป.พ.พ. มาตรา 1349 วรรคหนึ่ง ผู้มีสิทธิจะผ่านจะต้องใช้ค่าทดแทนให้แก่จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่เพื่อความเสียหายอันเกิดแต่เหตุที่มีทางผ่านนั้น ซึ่งค่าทดแทนดังกล่าวไม่ใช่ค่าซื้อที่ดิน เมื่อคำนึงถึงทางพิพาทซึ่งศาลกำหนดให้กว้าง 6 เมตร นั้น เป็นทางออกสู่ถนนพหลโยธิน 11 (ซอยเสนาร่วม) ซึ่งมิใช่เป็นทางหลัก และจำเลยเรียกร้องให้โจทก์จ่ายค่าทดแทนตารางวาละ 100,000 บาท เมื่อคำนึงถึงความเจริญและความเปลี่ยนแปลงของบ้านเมืองประกอบความเสียหายที่จำเลยได้รับแล้ว สมควรกำหนดค่าทดแทนความเสียหาย ให้จำเลยเท่ากับร้อยละ 75 ของราคาประเมิน เมื่อราคาประเมินของทางราชการคืออัตราตารางวาละ 80,000 บาท ทางจำเป็นกว้าง 6 เมตร ยาว 6 เมตร คำนวณเป็นเนื้อที่ได้ 9 ตารางวา จึงคิดเป็นจำนวนเงิน 540,000 บาท โดยกำหนดให้ชำระคราวเดียวกัน ที่จำเลยฎีกาขอให้โจทก์ชำระเป็นรายปีด้วยนั้น เห็นว่า ค่าทดแทนที่ศาลฎีกำหนดให้ดังกล่าว คุ้มความเสียหายของจำเลยแล้ว ไม่สมควรกำหนดให้เป็นรายปีอีกที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามาไม่ต้องด้วยความเห็น ของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยเปิดทางให้โจทก์ผ่านที่ดินของจำเลยโฉนดเลขที่ 8822 เลขที่ดิน 326 ตำบลสามเสนใน (บางซื่อฝั่งใต้) อำเภอดุสิต (บางซื่อ) กรุงเทพมหานคร กว้าง 6 เมตร จากแนวเขตที่ดินของจำเลยทางทิศตะวันตกไปทางทิศตะวันออก ความยาวจากที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 7178 เลขที่ 205 ตำบลสามเสนใน (บางซื่อฝั่งใต้) อำเภอดุสิต (บางซื่อ) กรุงเทพมหานคร ไปจนถึงถนนพหลโยธิน 11 (ซอยเสนาร่วม) ประมาณ 6 เมตร โดยให้โจทก์ใช้ค่าทดแทนความเสียหายให้จำเลย จำนวน 540,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียม ชั้นฎีกาให้เป็นพับ.