แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องอ้างว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยเข้าโต้แย้งสิทธิของโจทก์โดยอ้างว่า+ยกที่นี้ให้แก่โจทก์จำเลยคนละเท่า ๆ กัน จึงขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่รายนี้มิให้จำเลยเข้าเกี่ยวข้อง
จำเลยให้การต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นของบิดาโจทก์จำเลย+ดาไม่สละสิทธิหรือยกให้เป็นกรรมสิทธิของผู้ใด คงครอบครองเป็นเจ้าของตลอดมาจนบัดนี้ แล้วบิดาจัดการรังวัดจัดแบ่งที่นี้ให้โจทก์จำเลยคนละเท่า ๆ กัน โจทก์ไม่พอใจ จึงมาฟ้องดังนี้ถือว่า จำเลยได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์แล้วศาลจำต้องรับคดีไว้วินิจฉัยถึงสิทธิตามฟ้องต่อไป
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า พระภิกษุเชื่อมบิดาโจทก์ได้ขายนาพิพาทให้โจทก์ แต่มิได้จดทะเบียนการโอนกัน คงมอบที่ดินให้โจทก์ปกครองมาจนได้สิทธิครอบครองตามกฎหมายแล้ว บัดนี้จำเลยเข้าโต้แย้งสิทธิของโจทก์โดยอ้างว่า พระภิกษุเชื่อมยกที่นารายนี้แก่จำเลยและโจทก์เท่า ๆ กัน โจทก์จึงฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่นารายนี้มิให้จำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องต่อไป
จำเลยให้การต่อสู้ว่า ที่พิพาทเป็นของพระภิกษุเชื่อมบิดาโจทก์จำเลย พระภิกษุเชื่อมยังมิได้ยกให้เป็นกรรมสิทธิแก่ใคร ยังปกครองถือกรรมสิทธิเป็นเจ้าของอยู่ ที่จะเกิดเหตุคือ พระภิกษุเชื่อมจัดการรังวัดแบ่งนาพิพาทให้บุตร ๕ คน คือโจทก์และจำเลยคนละส่วนเท่า ๆ กันโจทก์ไม่พอใจ จึงมาฟ้อง
ศาลชั้นต้นฟังว่า พระภิกษุเชื่อมได้ขายที่พิพาทแก่โจทก์ ๆ ได้ครอบครองแล้ว จึงมีสิทธิครอบครอง พิพากษาให้ที่ดินเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง
นายธรรมจำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า กรณีไม่เกี่ยวกับจำเลย โจทก์ชอบที่จะฟ้องพระภิกษุเชื่อม จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามที่จำเลยให้การต่อสู้ว่า โจทก์ไม่มีสิทธิอย่างใดในที่พิพาทนี้ และว่าพระภิกษุเชื่อมไม่ได้ขายให้โจทก์ตามที่โจทก์อ้าง ปรากฎตามคำให้การของจำเลยแล้วนั้น ทั้งจำเลยก็ยังต้องการรับที่ดินรายนี้ตามที่พระภิกษุเชื่อมจะแบ่งให้ เห็นได้ว่าจำเลยโต้แย้งสิทธิของโจทก์ในที่ดินรายนี้อยู่ตลอดมา จึงพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยประเด็นข้ออื่นให้สิ้นกระแสร์ความ แล้วพิพากษาใหม่