คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1582/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่โจทก์ซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยที่สัญญาซื้อขายให้ตกลงกันว่าให้โจทก์มีสิทธิครอบครองได้ทันที และได้ส่งมอบที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนั้นเรียบร้อยแล้ว แม้โจทก์จะยังไม่ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นในทันทีก็ตาม โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยผู้ละเมิดขัดขวางมิให้โจทก์เข้าใช้สิทธิในที่ดินนั้นในทันทีก็ตาม โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยผู้ละเมิดขัดขวางมิให้โจทก์เข้าใช้สิทธิในที่ดินตามข้อสัญญาดังกล่าวได้
ค่าเสียหายในการละเมิดขัดขวางมิให้โจทก์เข้าใช้สิทธิในที่ดินนั้น หากโจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าตนจะได้เงินกินเปล่าเป็นจำนวนเท่าใด ทั้งมิได้นำสืบว่าที่ดินข้างเคียงกับที่ดินของโจทก์ได้เคยมีการให้เช่า และเสียเงินกินเปล่ากันอย่างไร และเงินกินเปล่าตามที่ฟ้อง พฤติการณ์เป็นเรื่องที่โจทก์คาดคะเนเอาเองเมื่อฟ้องคดีนั้นโจทก์พึงได้รับเฉพาะแค่ค่าเช่าที่โจทก์ควรจะได้จากวันที่โจทก์ได้รับสิทธิครอบครองตามสัญญาซื้อขายจนถึงวันฟ้องในฐานะเป็นค่าเสียหายเท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ซื้อที่ดินโฉนดที่ ๓๙๘๐ และที่ ๔๔๘๘ พร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างจากจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ทำหนังสือสัญญาว่าจะจัดการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ ๓๙๘๐ พร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างให้โจทก์ในวันทำสัญญา ส่วนที่ดินโฉนดที่ ๔๔๘๘ พร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างจำเลยที่ ๑ จะโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ภายในกำหนด ๖ เดือน นับแต่วันทำสัญญา และจำเลยที่ ๑ ยอมให้โจทก์เข้าครอบครองที่ดินทั้ง ๒ โฉนด และสิ่งปลูกสร้างซึ่งอยู่ในที่ดินได้ทันที ที่ดินทั้งสองแปลงโจทก์ซื้อในราคา ๑๑๔,๐๐๐ บาท โจทก์สัญญาจะจ่ายเงิน ๖๔,๐๐๐ บาทให้จำเลยในวันทำสัญญา ที่ค้างอีก ๕๐,๐๐๐ บาท จะจ่ายให้ในวันที่จำเลยที่ ๑ โอนกรรมสิทธิ์โฉนดที่ ๔๔๘๘ พร้อมสิ่งปลูกสร้าง โจทก์จำเลยทำสัญญาเพิ่มเติมว่า ในวันทำสัญญา โจทก์จะจ่ายเงินค่าที่ดินให้จำเลยที่ ๑ เพียง ๖๐,๐๐๐ บาท ที่เหลือ อีก ๔,๐๐๐ บาท โจทก์จะจ่ายให้จำเลยที่ ๑ เมื่อจำเลยที่ ๑ กั้นห้องและทำบันไดขึ้นลงในที่ดินโฉนดที่ ๓๙๘๐ ให้โจทก์ตามสัญญา และโจทก์เข้าครอบครองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในโฉนดที่ ๓๙๘๐,๔๔๘๘ ไม่ได้สมบูรณ์ เพราะจำเลยที่ ๒-๓ บังอาจบุกรุกเข้าไปอาศัยอยู่และเก็บสิ่งของไว้ที่ห้องชั้นบนและที่ดินชั้นล่างของโฉนดที่ ๓๙๘๐ กับจำเลยปิดประตูใส่กุญแจปิดปากทางเข้าออกด้านถนน ส่วนที่ดินโฉนดที่ ๔๔๘๘ และสิ่งปลูกสร้างจำเลยที่ ๒-๓ และบริวารบุกรุกเข้าไปทำและใช้ประโยชน์ในที่ดินตั้งแต่ตุลาคม ๒๕๐๑ จนถึงบัดนี้ โจทก์ให้จำเลยออก จำเลยไม่ยอมออก โจทก์จึงแจ้งให้จำเลยที่ ๑ ส่งมอบที่ดิน สิ่งปลูกสร้างทั้งสองแปลง และกั้นฝาห้องทำบันไดให้ จำเลยที่ ๑ รับว่าจะขับไล่จำเลยที่ ๒-๓ และกั้นห้องทำบันไดให้ แต่ขอให้โจทก์จ่ายเงิน ๔,๐๐๐ บาทที่ค้าง โจทก์ยอมจ่ายให้ไป แต่จำเลยที่ ๑ ก็มิได้จัดการอย่างไร โจทก์ถือว่าจำเลยผิดสัญญาและละเมิด ทำให้โจทก์เสียหาย คือ ที่ดินและห้องแถวโฉนดที่ ๓๙๘๐ เป็นเงินกินเปล่า ๗๐,๐๐๐ บาท ค่าเช่า ๒๐๐ บาท ที่ดินและบ้านเรือนโฉนดที่ ๔๔๘๐ เป็นเงินกินเปล่า ๑๐,๐๐๐ บาท ค่าเช่า ๑๒,๐๐๐ บาท ขอให้ศาลให้จำเลยส่งมอบโฉนดและสิ่งปลูกสร้างตามฟ้อง และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายพร้อมด้วยดอกเบี้ยจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และร่วมกันใช้ค่าเสียหายที่โจทก์จะได้จากการให้เช่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเดือนละ ๑,๕๒๕ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าโจทก์จะเข้าครอบครอง
จำเลยที่ ๑ ให้การรับว่า โอนขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้โจทก์จริงตามฟ้อง และได้ส่งมอบให้โจทก์แล้วตั้งแต่ ๒ ตุลาคม ๒๕๐๑ โจทก์ตรวจดูสภาพที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง แล้วโจทก์ตกลงรับซื้อโดยไม่ทักท้วงและรับมอบโดยไม่อึดเอิ้อน โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องให้จำเลยที่ ๑ ส่งมอบ ส่วนที่จำเลยที่ ๒-๓ รอนสิทธิ และละเมิดสิทธิโจทก์อย่างใด ก็ชอบที่โจทก์จะว่ากล่าวกับจำเลยที่ ๒-๓ เอาเอง โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องให้จำเลยที่ ๑ กั้นห้องและทำบันไดเพราะตามสัญญาถ้าจำเลยที่ ๑ ไม่ทำภายใน ๑ เดือน จำเลยยอมให้โจทก์หักเงิน ๔,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๑ มิได้รับว่าจะจัดการขับไล่จำเลยที่ ๒-๓ แต่ค่าเสียหายที่โจทก์ฟ้องเกินความจริง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒-๓ ให้การว่าไม่ได้บุกรุกหรือรอนสิทธิ จำเลยที่ ๒-๓ ไม่ได้เก็บสิ่งของ ไม่ได้ปิดกั้น บุกรุกขัดขวางโจทก์แต่อย่างไร จึงไม่ต้องรับผิด โจทก์เรียกค่าเสียหายเกินสมควร
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ได้ถูกโต้แย้งสิทธิอันจะเป็นเหตุให้โจทก์นำคดีมาสู่ศาลได้ เพราะโจทก์ได้ปลูกตึกลงในที่ดินโฉนดที่ ๔๙๘๘ ส่วนห้องพิพาทเวลานี้ก็กั้นประตูเหล็กให้เข้าเป็นร้านกาแฟ ทั้งประตูหลังห้องจำเลยที่ ๒-๓ ก็ตีตะปูปิดตาย ถ้าจำเลยที่ ๒-๓ จงใจขัดขวางกรรมสิทธิ์ของโจทก์แล้ว คงไม่ยอมให้โจทก์ทำได้ ตามที่ปรากฎในใบรายงานกระบวนพิจารณาของศาลว่า โจทก์มาร้องต่อศาลว่าจำเลยที่ ๒-๓ ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงนั้น จำเลยทั้งสองก็แถลงต่อศาลว่ามิได้เข้าเกี่ยวข้อง ส่วนการที่จำเลยทั้งสองนำของไปวางในที่พิพาท เลี้ยงและปล่อยไล่ให้ถ่ายมูล ตากเสื้อผ้า เป็นเรื่องธรรมดา มิใช่ละเมิด จำเลยไม่ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหาย ส่วนจำเลยที่ ๑ แม้จะมิได้นำสืบแก้ คดีก็ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๑ ผิดสัญญาและเห็นว่าโจทก์นำคดีมาสู่ศาลโดยไม่มีเหตุจำเป็น
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๒-๓ ได้วางของเกะกะในห้องพิพาทและเอาไก่เข้าไปเลี้ยง ถ่ายมูลสกปรกจนใช้ห้องไม่ได้ กับตากผ้าซักผ้าในห้องและที่ดินพิพาท จึงวินิจฉัยว่าจำเลยได้ขัดขวางและรอนสิทธิโจทก์ในการที่จะได้ห้องแถว และที่ดินตามที่โจทก์ซื้อมา จำเลยที่ ๒-๓ ต้องรับผิดในฐานะละเมิดของโจทก์ ส่วนจำเลยที่ ๑ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าต้องรับผิด เฉพาะเรื่องทำบันไดและกั้นห้องให้โจทก์ ถ้าไม่ทำให้คืนเงิน ๔,๐๐๐ บาทให้โจทก์ทำเอง ส่วนค่าเสียหายโจทก์นำสืบไม่แน่นอน ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์ควรได้ค่าเสียหายเฉพาะค่าเช่าที่ดินและโรงเรือนรวมเป็นเงิน ๑๒,๒๐๐ บาท
โจทก์และจำเลยที่ ๒-๓ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ห้องแถวพร้อมด้วยที่ดินโฉนดที่ ๓๙๘๐ กับเรือน ๑ หลัง พร้อมทั้งที่ดินโฉนดที่ ๔๔๘๘ นั้น เมื่อจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาขายให้โจทก์ตามเอกสาร จ.๑ ก็ได้มีสัญญาตกลังกันให้โจทก์เข้าใช้สิทธิครอบครองใช้ประโยชน์ได้ทันที และโดยเฉพาะห้องแถวซึ่งปลูกสร้างอยู่ในที่ดินโฉนดที่ ๓๙๘๐ พร้อมด้วยที่ดินนั้น จำเลยที่ ๑ ก็ได้โอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์แล้วแต่ในวันทำสัญญาซื้อขาย จ.๑ ส่วนเรือน ๑ หลังพร้อมด้วยที่ดินโฉนดที่ ๔๔๘๐ แม้ในวันทำสัญญา จ. ๑ จะยังไม่ได้โอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ก็ดี แต่โดยสัญญาซื้อขาย จ.๑ ก็ได้ตกลงยินยอมให้โจทก์เข้าใช้สิทธิครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินได้ทันที ทั้งจำเลยที่ ๑ ก็ได้ทำการส่งมอบทรัพย์ที่พิพาททั้งหมดให้โจทก์แล้วในวันทำสัญญาซื้อขายนั้นเอง ดังนี้ ถ้าจำเลยที่ ๒-๓ ขัดขวางละเมิดมิให้โจทก์ได้เข้าใช้สิทธิในที่ดินดั่งกล่าวตามข้อสัญญาจริง ก็ถือว่าจำเลยที่ ๒-๓ ละเมิดสิทธิของโจทก์แล้ว โจทก์ก็ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๒-๓ ได้ ฎีกาจำเลยที่ ๒-๓ ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนค่าเสียหายนั้น โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่า โจทก์ได้เงินค่ากินเปล่าไปเป็นจำนวนเท่าไร อีกประการหนึ่ง โจทก์ก็มิได้นำสืบว่าที่ดินข้างเคียงกับที่ดินของโจทก์ได้เคยมีการให้เช่าและเสียเงินกินเปล่ากันอย่างไร พฤติการณ์เป็นเรื่องที่โจทก์คาดคะเนเอาเอง เมื่อจะฟ้องคดีนี้ ฉะนั้น การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้โจทก์ได้รับค่าเช่าที่โจทก์ควรจะได้เป็นค่าเสียหายรวมเป็นเงิน ๑๒,๒๐๐ บาท โดยไม่ให้จำเลยที่ ๒-๓ ต้องชดใช้เงินกินเปล่าอีก ๘๐,๐๐๐ บาทให้โจทก์ตามที่โจทก์ฎีกามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
ส่วนปัญหาที่จำเลยที่ ๒-๓ ฎีกาว่า ไม่ควรต้องรับผิดในค่าเสียหายนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า นับแต่วันโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ ๑ ในวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๐๑ นั้น จำเลยที่๒-๓ ได้ทำการขัดขวางในการที่โจทก์จะเข้าใจใช้สิทธิทำประโยชน์ในที่พิพาทตั้งแต่นั้นมาจนถึงวันฟ้อง คือวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๐๒ นับเป็นเวลาได้ ๘ เดือน ซึ่งโจทก์ก็นำสืบว่า โจทก์จะได้ค่าเช่าจากฟ้องและที่ดินโฉนดที่ ๓๙๘๐ เป็นค่าเช่าเดิอนละ ๒๕ บาท และจะได้ค่าเช่าเรือน และที่ดินโฉนดที่ ๔๔๘๐ เป็นเงินเดือนละ ๑,๕๐๐ บาท และจำเลยที่ ๒-๓ ก็มิได้มีพยานหลักฐานมาสืบหักล้างซึ่งศาลฎีกาพิเคราะห์เห็นว่า ค่าเสียหายที่โจทก์ควรจะได้ค่าเช่าดังกล่าว เนื่องจากจำเลยที่ ๒-๓ ละเมิดขัดขวางโจทก์ ก็เป็นค่าเสียหายพอสมควร ฎีกาจำเลยที่ ๒-๓ ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share