แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องบรรยายว่าจำเลยทำการประมงโดยไม่ได้รับอนุญาตโดยใช้เครื่องมือที่ห้ามเด็ดขาดตามประกาศท้ายฟ้อง แต่เมื่อปรากฎว่าตามประกาศท้ายฟ้องนั้นมิได้มีกำหนดห้ามเครื่องมือที่อ้างนั้น ว่าเป็นเครื่องมือที่ห้ามเด็ดขาด ดังนี้แม้จำเลยจะรับสารภาพตามฟ้อง ก็จะฟังว่าจำเลยกระทำผิดฐานใช้เครื่องมือที่ห้ามโดยเด็ดขาดไม่ได้ เพราะต้องถือประกาศท้ายฟ้องเป็นส่วนหนึ่งของฟ้องด้วยจำเลยจึงคงมีความผิดตาม พ.ร.บ.การประมง 2490 มาตรา 18-62 ไม่ใช่ผิดตามมาตรา 32-65 ฉะนั้นการริบเครื่องมือของกลางจึงอยู่ในดุลยพินิจของศาลตามมาตรา 69
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยสมคบกันวิดน้ำในที่ว่าประมูลทำให้น้ำแห้งหรือลดน้อยลง เพื่อทำการประมงโดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน โดยจำเลยใช้เครื่องยนต์ฉุดระหัด ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ข้าหลวงประจำจังหวัดพิษณุโลกโดยอนุมัติรัฐมนตรี มีประกาศห้ามทำการประมงในที่ว่า ประมูลโดยเด็ดขาด ดังปรากฎตามสำเนาท้ายฟ้อง ขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.การประมง ๒๔๙๐ มาตรา ๑๘-๓๒-๖๒-๖๕-๗๐ กับขอให้ริบของกลาง จำเลยทั้งสามรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยผิดตามพ.ร.บ.การประมง ๒๔๙๐ มาตรา ๑๘-๖๒ ลดฐานรับสารภาพกึ่งหนึ่งแล้วคงปรับคนละ ๕๐ บาท ของกลางคืนเจ้าของ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา อ้างว่า เมื่อโจทก์ฟ้องว่าจำเลยใช้ เครื่องยนต์ฉุดระหัด อันเป็นเครื่องมือที่ห้ามเด็ดขาดตามประกาศท้ายฟ้อง ทำการประมง และจำเลยก็รับสารภาพตามฟ้องแล้ว ศาลต้องฟังว่าจำเลยใช้เครื่องมือที่ห้ามเด็ดขาด
ศาลฎีกาเห็นว่า ประกาศท้ายฟ้องเป็นส่วนหนึ่งของฟ้อง เมื่อประกาศท้ายฟ้องไม่ปรากฎว่าได้ห้ามการใช้เครื่องยนต์ฉุดระหัดทำการวิดน้ำโดยเด็ดขาดไม่ได้ ความผิดของจำเลยต้องด้วยมาตรา ๑๘-๖๒ มิได้ต้องด้วยมาตรา ๓๒-๖๕ การริบหรือไม่ริบ จึงอยู่ในดุลยพินิจของศาลตามมาตรา ๖๙ หาใช่มาตรา ๗๐ ดังโจทก์ฎีกาไม่ คดีนี้ศาลล่างทั้งสองได้ใช้ดุลยพินิจต้องกันมาว่า ยังไม่ควรริบของกลาง ศาลฎีกายังไม่เห็นมีเหตุอันควรจะเปลี่ยนแปลง จึงไม่แก้ไข
คงพิพากษายืน