แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ป.ม.วิ.อาญามาตรา 46 ที่ว่าในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาานั้น ไม่ประสงค์จะให้คำชี้ขาดข้อเท็จจริงในคดีอาญามีผลผูกพันถึงบุคคลนอกคดีด้วย ฉะนั้นถ้าบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นคู่ความแต่เฉพาะในคดีส่วนแพ่งเท่านั้นแล้ว ก็จะนำหลักในมาตรา 46 มาใช้แก่บุคคลภายนอกนั้นไม่ได้
ทำใบมอบฉันทะเพื่อยกที่ดินให้ผู้มีชื่อแล้ว ผู้มีชื่อกลับเอาใบมอบฉันทะนั้น ไปใช้ในการจำนองที่ดินนั้นแก่โจทก์ ดังนี้ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องบังคับจำนองแก่เจ้าของที่ดินนั้นได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้ง ๒ จำนองที่ดิน ๔ โฉนดไว้แก่โจทก์เป็นเงิน ๓,๐๐๐๐ บาท โจทก์บอกกล่าวให้ไถ่ถอนแล้ว จำเลยไม่ชำระ จึงขอให้จำเลยใช้เงิน ๓๓๘๖๐ บาท และดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ปฏิเสธว่า ไม่เคยจำนองที่ดินกับโจทก์แต่ทราบว่ามีผู้ปลอมใบมอบฉันทะของจำเลยที่ ๑ ไปจำนองที่ดินรายนี้
จำเลยที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นฟังว่า ลายมือจำเลยที่ ๑ ในใบมอบฉันทะเป็นลายมือปลอม จึงไม่ผูกพันจำเลยที่ ๑ ส่วนจำเลยที่ ๒ ฟังไม่ได้ว่าโจทก์ส่งคำบอกกล่าวบังคับจำนองแก่จำเลยที่ ๒ แล้ว จึงบังคับจำนองจำเลยที่ ๒ ไม่ได้ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า เรื่องนี้จำเลยที่ ๑ อ้างคำฟ้องคดีอาญาคดีดำที่ ๙๑๗/๒๔๙๒ ในคดีนั้นศาลฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ ๑ ได้เซ็นชื่อในใบมอบฉันทะจริง เพื่อยกที่ ๔ แปลงนั้นให้จำเลยที่ ๒ ๆ ย่อมมีอำนาจที่จะโอนหรือจำนองโดยใช้ใบมอบฉันทะใบนั้นต่อไปได้ ไม่เป็นความผิด ศาลอุทธรณ์จึงต้องถือข้อเท็จจริงในคดีอาญาที่กล่าวนี้มาวินิจฉัยคดีส่วนแพ่งตาม ป.ม.วิ.อาญามาตรา ๔๖ จึงพิพากษากลับให้จำเลยที่ ๑ ชำระต้นเงินและดอกเบี้ยแก่โจทก์นอกนั้นยืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ในคดีอาญาดำที่ ๙๑๗/๒๔๙๒ นั้น นายสุดจิตต์จำเลยที่ ๑ เป็นคู่ความด้วย ฉะนั้นศาลหาจำต้องถือข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีอาญาที่กล่าวแล้วมาพิพากษาคดีแพ่งเรื่องนี้ ตามป.ม.วิ.อาญามาตรา ๔๖ ไม่ เพราะมาตรา ๔๖ ย่อมไม่ประสงค์จะให้คำชี้ขาดในข้อเท็จจริงในคดีอาญามีผลผูกพันถึงบุคคลภายนอกคดีด้วย แต่ในการวินิจฉัยข้อเท็จจริง ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ ๑ ได้เซ็นชื่อในใบมอบฉันทะนั้นจริง ไม่ใช่ลายมือปลอม จำเลยที่ ๑ จึงต้องรับผิด จึงพิพากษายืน