แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีที่โจทก์ฟ้องขอให้ทำลายสัญญาจำนอง และสัญญายอมความต่อศาลระหว่างจำเลย, มูลคดีเป็นเรื่องขอให้ทำลายสัญญาไม่ใช่เรื่องฟ้องเรียกกรรมสิทธิจากจำเลย แม้มีข้อเท็จจริงโต้เถียงกันว่า โจทก์กับจำเลยเป็นผัวเมียกันหรือไม่ ก็ไม่เกี่ยวด้วยสิทธิในครอบครัว ฟ้องที่ศาลแขวงได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของเรือนเลขทะเบียนที่ ๑๔ ซึ่งจำเลยที่ ๒ ทราบดีว่าเป็นของโจทก์ จำเลยที่ ๒ ได้สมคบกับจำเลยที่ ๑ จำนองเรือนนี้แก่จำเลยที่ ๑ เป็นเงิน ๕,๐๐๐ บาท ต่อมาจำเลยที่ ๑ ฟ้องบังคับจำนองจำเลยที่ ๒ จำเลยทั้ง ๒ สมคบกันทำสัญญายอมความต่อศาล ให้จำเลยที่ ๒ ใช้เงิน มิฉะนั้นให้ยึดเรือนขายทอดตลาด แล้วจำเลยที่ ๑ ได้ยึดเรือนนี้ขายทอดตลาด โจทก์ได้ขัดทรัพย์ไว้แล้ว และขอให้ศาลทำลายสัญญาดังกล่าว
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า ไม่ทราบว่าเป็นเรือนของโจทก์ โจทก์กับจำเลยที่ ๒ เป็นผัวเมียกัน เรือนพิพาทเป็นสินเดิมของจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๑ ได้รับจำนองโดยสุจริตมีค่าตอบแทน และยอมความต่อศาลโดยสุจริต
จำเลยที่ ๒ มิได้ยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นสอบคู่ความ โจทก์แถลงว่าจำเลยที่ ๒ กับโจทก์ได้เสียกันหลังใช้ ป.ม.แพ่งฯ บรรพ ๕ และไม่ได้จดทะเบียนสมรส เรือนเป็นของโจทก์ จำเลยที่ ๒ ว่าเป็นผัวเมียกันโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงเห็นว่าคดีเกี่ยวกับสิทธิในครอบครัว ซึ่งศาลแขวงไม่มีอำนาจ ให้คืนฟ้อง.
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เป็นเรื่องโต้แย้งกรรมสิทธิในทรัพย์รายพิพาท เป็นคดีมีทุนทรัพย์ ๑๐๐๐ บาท แม้ไม่เกี่ยวกับสิทธิในครอบครัว ศาลแขวงก็รับไว้พิจารณาไม่ได้ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา,
ศาลฎีกาเห็นว่า เป็นเรื่องที่ฟ้องขอให้ทำลายสัญญาจำนองและสัญญายอมความระหว่างจำเลยทั้ง ๒ มูลคดีเป็นเรื่องขอให้ทำลายสัญญา หาใช่เรื่องฟ้องเรียกกรรมสิทธิจากเรือนไม่ ในการจำนองกรรมสิทธิแห่งทรัพย์ที่จำนอง ก็มิได้ตกไปยังผู้รับจำนอง ที่ว่าเป็นคดีมีทุนทรัพย์นั้นไม่เห็นด้วย จริงอยู่ ที่โต้เถียงกันอยู่ว่าจำเลยที่ ๒ กับโจทก์เป็นสามีภริยากันหรือไม่นั้น เห็นว่า ลำพับแต่การที่จะวินิจฉัยข้อเท็จจริงเช่นว่านั้น หาใช่เป็นการวินิจฉัยถึงสิทธิในครอบครัวไม่ เพราะมูลคดีพิพาทกันเรื่องขอให้ทำลายสัญญา จึงอยู่ในอำนาจของศาลแขวงพิจารณาพิพากษาได้ พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้ง ๒ ให้ศาลแขวงพระนครเหนือรับฟ้องของโจทก์.