คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 436/2505

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามสัญญากู้ที่โจทก์อ้างในฟ้องว่า จำเลยได้ทำให้ไว้สัญญาดังกล่าวนี้จะสืบเนื่องมาจากการแปลงหนี้ใหม่หรือไม่ ไม่เป็นข้อสำคัญโจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำสัญญากู้เงินโจทก์และได้รับเงินไปครบถ้วนตามสัญญาแล้ว ต่อมานำสืบว่า เอาสัญญากู้รายเก่ามาเปลี่ยนทำสัญญากู้ใหม่ โดยเอาดอกเบี้ย ที่ค้างทบกับต้นเงินรวมเป็นจำนวนเงินกู้ ใหม่ในสัญญาที่โจทก์ฟ้องนั้น เป็นการสืบมูลเหตุที่มาสู่การทำสัญญากู้ เป็นการสืบข้อเท็จจริงแวดล้อมเพื่อแสดงว่าจำเลยได้ทำสัญญากู้ตามฟ้องจริงและได้มีการตกลงให้ถือว่าจำเลยได้รับเงินแล้วอย่างไร ไม่เป็นการนำสืบนอกฟ้อง และโจทก์ไม่ต้องกล่าวอ้างตั้งประเด็นเรื่องแปลงหนี้ ใหม่มาในฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญากู้เงินโจทก์ไป ๔,๒๘๒ บาท ดังสำเนาสัญญาท้ายฟ้อง จำเลยได้รับเงินไปแล้วถึงกำหนดแล้วไม่ชำระให้ ขอให้บังคับให้จำเลยใช้เงินต้นกับดอกเบี้ย
จำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่เคย ทำสัญญากู้ตามฟ้อง สัญญานั้นเป็นสัญญาปลอม จำเลยเคยกู้เงินโจทก์ ๑๐๐ บาท ก็ได้ใช้ให้แล้ว แต่โจทก์ไม่คืนสัญญาให้
ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยกู้เงินโจทก์จริง พิพากษาให้จำเลยใช้เงินต้นและดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาดังที่เคยอุทธรณ์มาแล้วโดยมีปัญหาข้อกฎหมายว่า พยานของโจทก์ไม่รู้เห็นว่ามีการส่งมอบเงินที่ให้กู้ โจทก์กลับนำสืบว่า เอาสัญญากู้รายเก่ามาเปลี่ยนทำสัญญากู้ใหม่โดยเอาดอกเบี้ยที่ค้างทบกับต้น ซึ่งเป็นการแปลงหนี้ใหม่ ไม่ใช่กู้ยืม เป็นการสืบนอกฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ เป็นเรื่องโจทก์เรียกเงินตามสัญญากู้ที่โจทก์อ้างในฟ้องว่าจำเลยได้ทำให้ไว้ สัญญานี้จะสืบเนื่องมาจากการแปลงหนี้ใหม่หรือไม่ไม่เป็นข้อสำคัญโจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำสัญญากู้เงินโจทก์และได้รับเงินไปครบถ้วนตามสัญญาแล้ว ต่อมานำสืบว่า เอาสัญญากู้รายเก่ามาเปลี่ยนทำสัญญากู้ใหม่ โดยเอาดอกเบี้ย ที่ค้างทบกับต้นเงินรวมเป็นจำนวนเงินกู้ ใหม่ในสัญญาที่โจทก์ฟ้องนั้น เป็นการสืบมูลเหตุที่มาสู่การทำสัญญากู้ สรุปแล้วคงเป็นการสืบข้อเท็จจริงแวดล้อมเพื่อแสดงว่าจำเลยได้ทำสัญญากู้ตามฟ้องจริงและได้มีการตกลงให้ถือว่าจำเลยได้รับเงินแล้วอย่างไร โจทก์ย่อมนำสืบได้ ไม่ต้องกล่าวอ้างตั้งประเด็นเรื่องแปลงหนี้ ใหม่มาในฟ้อง ไม่เป็นการนำสืบนอกฟ้อง พิพากษายืน

Share