แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยอ้างว่าสัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมนั้น ทนายจำเลยกับโจทก์สมคบกันฉ้อฉลโจทก์ โดยอ้างเหตุแต่เพียงว่าทนายไม่บอกจำเลยก่อน ไม่ทำสัญญาประนีประนอมฯต่อหน้าทนายจำเลยคนอื่นในคดีเดียวกัน ไม่บอกกล่าวให้จำเลยทราบในภายหลังข้อกล่าวอ้างดังกล่าวนี้ไม่เป้นการฉ้อฉลที่จะเป็นเหตุให้อุทธรณ์ฎีกาตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 138 (1) ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่านายประสาทว่าจ้างให้โจทก์จำเลยทั้ง ๒ จัดการหรือเรียกร้องเอาเงินค่าฝิ่น ๑,๐๔๕,๐๗๕ บาท ๘๕ สตางค์ จากกระทรวงการคลัง ฯลฯ โจทก์จำเลยได้ช่วยกันจัดการให้นายประสาทไ้ดรับเงิน นายประสาทจ่ายเงินให้แก่จำเลยแล้วจำเลยไม่แบ่งให้โจทก์ตามสัญญา จึงขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน ๓๓,๓๓๓.๓๓ บาทและเสียดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๑ ต่อสู้ว่า โจทก์ชอบที่จะเรียกจากนายจ้าง ฯลฯ
จำเลยที่ ๒ ต่อสู้ว่าโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้อง ฯลฯ
ต่อมาโจทก์ขอถอนฟ้องเฉพาะจำเลยที่ ๒ และในวันเดียวกันนั้นเองทนายจำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาปรานีประนอมยอมความกันว่าจำเลยที่ ๑ ยอมชดใช้เงินให้โจทก์ ๒๕,๐๐๐ บาทในกำหนด ๑ เดือน หากผิดนัดยอมให้ดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปีจนกว่าจะชำระเสร็จ
ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม
จำเลยที่ ๑ ยื่นคำร้องขอถอนทนายจำเลยที่ ๑ อ้างว่าทนายกระทำการฉ้อฉลเพราะได้สมคบกันกับฝ่ายโจทก์ทำสัญญาปรานีประนอมยอมความโดยจำเลยไม่รู้เห็นหรือให้ความยินยอมเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างมาก และวันเดียวกันจำเลยยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น และสั่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป อ้างว่าศาลส่งหมายนัดฟังประเด็นกลับให้แก่ทนายจำเลยที่ ๑ ทนายจำเลยที่ ๑ ไม่บอกให้จำเลยที่ ๑ ทราบ ทนายของจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นพี่สะใภ้ของจำเลยกลับแล้ว ทนายจำเลยที่ ๑ จึงได้ทำสัญญาปรานีประนอมยอมความกับโจทก์ โดยจำเลยไม่รู้เห็นยินยอมและไม่บอกให้จำเลยทราบ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลย จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าเรื่องนี้จำเลยอ้างเหตุอุทธรณ์ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา ๑๓๘ (๑) เห็นว่าคดีนี้ใบแต่ทนายความของจำเลยได้ให้อำนาจนายปันทำการปรานีประนอมยอมความได้ การที่นายปันไม่บอกกล่าวจำเลยก่อน ไม่ทำสัญญาปรานีประนอมยอมความต่อหน้าทนายของจำเลยคนอื่นในคดีเดียวกัน และไม่บอกกล่าวให้จำเลยทราบในภายหลังดังจำเลยยกขึ้นอ้างมาในฟ้องอุทธรณ์นั้น ข้ออ้างดังกล่าวไม่เป็นการฉ้อฉลดังจำเลยฎีกา พิพากษายืน