แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้เสียหายเคยฝากข้าวเปลือกให้จำเลยสีเป็นข้าวสาร จำเลยก็สีให้ โดยผู้เสียหายให้ค่าตอบแทนต่อมาผู้เสียหายให้จำเลยสีข้าวเปลือกอีก จำเลยเอาไปเป็นประโยชน์ต่อส่วนตัวเสีย ผู้เสียหายจึงร้องทุกข์ให้ดำเนินคดี พนักงานสอบสวนไกล่เกลี่ยให้จำเลยคืนข้าวเปลือกแก่ผู้เสียหาย แต่ไม่ตกลงกัน ต่อมานายอำเภอได้ไกล่เกลี่ยอีก ผู้เสียหายและจำเลยได้ทำสัญญาเป็นหนังสือโดยจำเลยเอารถยนต์ 1 คันจำนอง ผู้เสียหายและจะนำข้าวสารไปไถ่ถอนการจำนองเป็นรายเดือนจนกว่าจะครบ ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงจำเลยยอมโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ให้ผู้เสียหาย ถ้าจำเลยปฏิบัติตามข้อตกลงครบถ้วนแล้ว ผู้เสียหายจะคืนรถยนต์และใบทะเบียนให้ เมื่อพิเคราะห์ถึงความเกี่ยวพันระหว่างผู้เสียหายกับจำเลยที่มีต่อกันจนเกิดพิพาทและทำสัญญาต่อกันแล้ว จะเห็นได้ว่าผู้เสียหายและจำเลยทำสัญญาเพื่อระงับข้อพิพาททั้งในทางแพ่งและอาญา ถึงแม้ในสัญญาจะมิได้ระบุโดยชัดแจ้งว่ให้คดีอาญาระงับไปก็ตาม แต่ตามรูปคดีพอถือได้ว่าผู้เสียหายและจำเลยทำสัญญาโดยมุ่งประสงค์ให้ข้อหาทางอาญาระงับไป คดีนี้เป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว จึงมีผลทำให้สิทธิที่จะนำคดีอาญามาฟ้องระงับไป
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่ จำเลยยักยอกเอาข้าวเปลือกเหนียวหนัก ๘๓,๒๕๐ กิโลกรัม ของนายยิ้มไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวโดยทุจริต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๕๒
จำเลยให้การปฏิเสธ
นายยิ้ม การพาณิชย์ ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นเห็นว่าผู้เสียหายกับจำเลยได้ยอมความกัน และไม่ติดใจว่ากล่าวในทางอาญาแล้ว คดีนี้เป็นความผิดต่อส่วนตัว สิทธิในการนำคดีมาฟ้องร้องย่อมระงัยไป
โจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าข้อเท็จจริงได้ว่าผู้เสียหายกับจำเลยเป็นพ่อค้าติดต่อค้าขายมาเป็นเวลาหลายปี ผู้เสียหายเคยนำข้าวเปลือกเหนียวไปฝากไว้ที่โรงสีของจำเลยเพื่อให้จำเลยสีเป็นข้าวสารให้ โดยผู้เสียหายคิดค่าจ้างให้จำเลย ในพ.ศ.๒๕๐๖ ผู้เสียหายนำข้าวเปลือกเหนียวจำนวน ๑๐๕,๐๐๐ กิโลกรัมไปฝากที่โรงสี จำเลยและมีข้อตกลงกันดังกล่าวข้างต้น จำเลยได้สีเป็นข้าวสารส่งให้ผู้เสียหาย ๑๔๐ กระสอบ ยังคงเหลือ อยู่อีก ๕๓๗ กระสอบ จำเลยได้เอาข้าวที่ผู้เสียหายฝากไว้สีเป็นข้าวสารแล้วขายเอาเงินไปใช้หมด ผู้เสียหายได้ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนขอให้ดำเนินคดีอาญา เจ้าพนักงานสอบสวนได้เรียกจำเลยกับผู้เสียหายไปสอบถามและแนะนำให้จำเลยหาข้าวสารเหนียวให้ผู้เสียหายเรื่องจะได้เสร็จกันไป แต่ยังตกลงกันไม่ได้ ต่อมาประมาณ ๓ เดือน นายอำเภอเชียงคำได้เรียกผู้เสียหายและจำเลย ไปทำความตกลงกัน โดยให้ทำสัญญากันไว้ คือจำเลยยอมตกลงจำนองรถยนต์บรรทุก ๑ คันไว้กับผู้เสียหาย และจำเลยรับรองว่าจะนำข้าวสารเหนียวไถ่ถอนจำนองเป็นรายเดือนๆ ละ ๖๗ กระสอบ โดยเริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ๒๕๐๖ จนกว่าจะครอบ ๕๓๗ กระสอบ และจะชำระให้เสร็จภายใน ๓๐ มิถุนายน ๒๕๐๗ ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าว จำเลยยอมโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ที่จำนองให้แก่ผู้เสียหาย ถ้าจำเลยปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าว ผู้เสียหายจะคืนรถยนต์พร้อมทั้งทะเบียนให้จำเลย (ตามเอกสาร ล.๒) เมื่อทำสัญญา ล. ๒ แล้วผู้เสียหายไม่ได้ถอนคำร้องทุกข์ ขณะนี้จำเลยยังไม่ได้ไถ่จำนองเอารถยนต์กลับคืนมา
เมื่อฟังข้อเท็จจริงได้ดังกล่าวแล้ว ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อผู้เสียหายไปร้องทุกข์ ขอให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับจำเลยในทางอาญา พนักงานสอบสวนได้เรียกจำเลยไปสอบถามและแนะนำให้จัดารหาข้าวสารเหนียวส่งให้ผู้เสียหายเสียจะได้เสร็จเรื่องไป จึงเห็นได้ว่าในเบื้องต้นพนักงานสอบสวนก็ไกล่เกลี่ยจะให้เลิกคดีกันในทางอาญา ครั้นต่อมาอีก ๓ เดือน นายอำเภอเชียงคำ ก็เรียกผู้เสียหายกับจำเลยไปทำความตกลงกัน เมื่อผู้เสียหายกับจำเลยตกลงกันได้แล้ว นายอำเภอจึงทำสัญญาให้ตามเอกสารหมาย ล. ๒ ทั้งนี้ เห็นได้ว่านายอำเภอทำการไกล่เกลี่ยให้ผู้เสียหายกับจำเลยตกลงกันก็เนื่องจากผู้เสียหายไปกล่าวหาจำเลยในทางอาญานั่นเอง ฉะนั้น เมื่อพิเคราะห์ถึงความเกี่ยวพันระหว่างผู้เสียหายและจำเลยที่มีต่อกันตลอดมา จนกระทั่งได้เกิดพิพาทกันเรื่องข้าวเปลือกเหนียวดังกล่าว และต่อมาพนักงานสอบสวนได้พูดจาไกล่เกลี่ยจนกระทั่งนายอำเภอทำการไกล่เกลี่ยอีกครั้งหนึ่ง จึงตกลงกันได้ และทำสัญญาหมาย ล. ๒ ไว้เป็นหลักฐาน จึงเห็นได้ชัดว่าในการทำสัญญาหมาย ล.๒ ก็เพื่อระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับข้าวเปลือกเหนียวที่จำเลยรับฝากไว้ และยังไม่ได้สีส่งให้ผู้เสียหาย ทั้งในทางแพ่งและในทางอาญานั่นเอง ศาลฎีกาเห็นว่า ถึงแม้ในสัญญาหมาย ล. ๒ มิได้ระบุโดยชัดแจ้งว่าให้คดีอาญาเป็นอันระงับไปก็ตาม แต่ตามรูปคดีพอถือได้ว่าผู้เสียหายและจำเลยทำสัญญา ล.๒ ต่อกันก็โดยมุ่งประสงค์ให้ข้อหาในทางอาญาระงับไปด้วย เมื่อคดีนี้เป็นคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัว ผู้เสียหายกับจำเลยได้ทำสัญญายอมระงับข้อพิพาทในทางอาญากันแล้ว ก็มีผลทำให้สิทธิที่จะนำคดีอาญามาฟ้องระงับไป ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ ชอบด้วยรูปคดีแล้ว ฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน