คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 310/2489

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขับไล่อ้างว่าเป็นที่ของตน จำเลยให้การว่า ที่พิพาทเป็นที่ของตน โดยตนได้โก่นสร้างมา แต่นำสืบว่าตนโก่นสร้างมา 18 ไร่ ซื้อมา 1 ไร่ ดังนี้แม้จะไม่ตรงกับคำให้การ ก็ไม่เป็นข้อสำคัญ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นา ๑ แปลงเนื้อที่ ๑๐ ไร่ ราคา ๔๐๐ บาทเป็นของโจทก์ จำเลยบุกรุกเข้าไปทำและเรียกค่าเสียหาย
นายถอน ร้องสอดเข้าไปเป็นจำเลยร่วมและขอให้ถือคำให้การจำเลยเป็นคำให้การของผู้ร้องสอด ศาลอนุญาต
จำเลยให้การว่า นาที่จำเลยเข้าทำเป็นของผู้ร้องสอดโดยผู้ร้องสอดและภรรยาโก่นสร้างมาเมื่อ พ.ศ.๒๔๘๗ ผู้ร้องสอดกู้เงินจำเลยและยอมให้จำเล
ยทำนาแปลงนี้ต่างดอกเบี้ย
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ พิพากษาต้องกันเชื่อข้อเท็จจริง นาฬิกาเป็นของผู้ร้องสอด โดยซื้อมาจากนายเคียง ๑ ไร่ แผ้วถางเพิ่มเติม ๑๘ ไร่ จีงให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า จำเลยให้การว่าผู้ร้องสอดโก่นสร้าง แต่นำสืบว่าซื้อจากนายเคียงเป็นการนำสืบไม่ตรงประเด็นข้อต่อสู้ ไม่ควรรับฟัง
ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อโจทก์ฟ้องว่าที่ดินเป็นของโจทก์ขอให้ขับไล่ ประเด็นก็มีว่า โจทก์เป็นเจ้าของมีอำนาจขับไล่หรือไม่ เมื่อพะยานโจทก์เชื่อไม่ได้โดยพะยานจำเลยมีหลักฐานดีกว่า ว่าที่พิพาทไม่ใช่ของโจทก์ ศาลก็ต้องยกฟ้องโจทก์ ข้อที่จำเลยนำสืบว่า ที่ดินนั้นตนโก่นสร้าง ๑๘ ไร่ ซื้อมา๑ ไร่นั้น แม้จะไม่ตรงกับคำให้การ ก็หาเป็นข้อสำคัญในประเด็นอย่างได้ไม่ เพราะตามข้อเท็จจริงจะเรียกว่าผู้ร้องสอดได้โก่นสร้างที่นาพิพาทมาก็ไม่ผิด ฟังได้ว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของแม่ พิพากษายืนให้ยกฟ้อง

Share