คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 219/2486

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พรึพิการที่ถือว่าเปนการป้องกันชีวิตไม่เกินสมควรแก่เหตุ

ย่อยาว

ได้ความว่าโคของจำเลยหายไป ๑ ตัว แล้วผู้ตายซึ่งเปนน้องภรรยาจำเลยตามพบโคของจำเลยผูกซุ่มหยู่ไนป่า จำเลยกับพี่ชายของผู้ตายจึงได้ไปซุ่มหยู่เพื่อจับคนร้ายที่จะมาเอาโคนั้น พอโพล้เพล้ผู้ตายได้มายังที่ที่ซุ่ม ถามว่าจะซุ่มหยู่ตลอดคืนหรือ จำเลยว่าจะซุ่มหยู่สัก ๒๑-๒๒ นาลิกา ผู้ร้ายไม่มาก็จะกลับ และจะเอาโคไปเอง ผู้ตายพูดว่าจะไม่มาหาอีกแล้วพี่ชายของผู้ตายได้สั่งว่าหย่าไห้มา ถ้ามาจะเข้าไจผิดว่าเปนผู้ร้ายไป ผู้ตายก็ย้ำว่าจะไม่มา ครั้นเวลา ๑๙ นาลิกาเสส นายลอนไปบ้านผู้ตายบอกไห้ผู้ตายไปรับจำเลยกับพี่ชายของผู้ตายกลับ เพราะผนตกเฝ้าหยู่จะหนาว แล้วนายสอนกับผู้ตายก็ไปที่จำเลยและพี่ชายของผู้ตายซุ่มหยู่ ผู้ตายเดินตรงไปยังจำเลยและพี่ชายของผู้ตายคนเดียวและเปิดไฟฉายระยะห่างสัก ๑ วา จำเลยทักว่าไคร ไม่มีเสียงตอบ ทันไดนั้นจำเลยก็ยิงปืน ๑ นัด ถูกผู้ตายถึงแก่ความตายทันทีขนะนั้นมืดมากมองไม่เห็นตัวคนและฝนกำลังตกพรำ ๆ
สาลชั้นตกและสาลอุธรน์วินิจฉัยต้องกันว่า การกะทำของจำเลยไม่เปนการป้องกันตัว จำเลยมีผิดตามมาตรา ๒๔๙ คงจำคุกจำเลย ๗ ปี ๖ เดือน
จำเลยดีกา สาลดีกาเห็นด้วยตามรูปคดี จำเลยไม่ได้กะทำเพื่อป้องกันทรัพย์ คงมีปัญหาเหลือหยู่ว่าจะเปนการป้องกันชีวิตหรือไม่ ซึ่งสาลดีกาวินิจฉัยว่าที่เกิดเหตุเปนที่ป่าและเปนเวลาค่ำคืนตั้งเปนเวลาฝนตก ซึ่งไม่น่าจะมีไครไปมานอกจากจะเปนคนร้ายที่มาเอาโค ฉนั้นการที่จำเลยเข้าไจว่าผู้ตายเปนคนร้ายนั้นก็สมเหตุสมผลหยู่ โดยฉเพาะหย่างยิ่งผู้ตายได้ยืนยันแล้วว่าจะไม่กลับมาอีก เมื่อจำเลยมีเหตุอันควนเชื่อได้ว่าเปนคนร้ายและผู้ร้ายนั้นกำลังเดินตรงมาถามว่าไครก็ไม่ตอบ จำเลยจึงได้ยิงไปเช่นนี้ ก็นับว่าเปนการป้องกันชีวิตได้ และเวลานั้นจำเลยก็ถูกไฟฉายเต็มหน้ามองไม่เห็นอะไร ไม่มีทางจะขายได้ว่าคนที่จำเลยคิดว่าเปนคนร้ายมีอาวุธหรือไม่ และทั้งหยู่ในระยะไกล้กัน ถ้าคนร้ายมีอาวุธก็อาดทำร้ายจำเลยได้ทันที ฉนั้นการกะทำของจำเลยจึงไม่เกินสมควนแก่เหตุ พิพากสากลับไห้ยกฟ้องโจท

Share