แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นตำรวจ ใช้อุบายขู่ว่าเป็นผู้เสียหายให้เงินแก่จำเลยเพื่อเอาไปให้แก่ผู้ร้ายสำคัญ ถ้าไม่ให้ก็จะต้องถูกผู้ร้ายกระทำร้ายในภายหลัง ดังนี้เรียกได้ว่า จำเลยบังคับโดยใช้อำนาจโดยมิชอบด้วย ก.ม. ขู่เข็ญข่มขืนใจให้ผู้เสียหายมีความกลัวต่อภัยอันตรายในอนาคต ซึ่งจะถูกพวกปล้นทำร้าย มีผิดตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 268 วรรคสุดท้าย
ย่อยาว
คดี ๖ สำนวนนี้ได้ความว่า ในวันเวลาเกิดเหตุมีชาย ๔ คน แขวนพระเครื่องรางเต็มคอ ถืออาวุธปืนเล็กยาวแบบตำรวจทุกคน จับนายเผือกมาที่บ้านนายลิ้ม จำเลยแต่งเครื่องแบบตำรวจได้ไปที่นั่น ได้พูดเรี่ยไรราษฎรว่า จะเอาไปให้เสือย่อม ซึ่งเป็นหัวหน้าผู้ร้ายปล้นทรัพย์มีพรรคพวกมากอยู่เขตต์ ติดต่อกับตำบลที่เกิดเหตุ จำเลยพูดว่า ถ้าไม่ให้ เสือย่อมจะมาเอาเอง และจะต้องเสียมาก ถ้าให้แล้วจะไม่ถูกคนร้ายรบกวน ระหว่างพูดกันนั้น ชาย ๔ คนที่ชาวบ้านเข้าใจว่าเป็นผู้ร้าย ได้ใช้อาวุธปืนยิงเล่นคนละหลาย ๆ นัด และราษฎรต่าง ๆ รวมทั้งผู้เสียหายในคดีได้ให้เงินแก่จำเลยไป โจทก์จึงฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานทำให้เสื่อมเสียอิสสระภาพ และชิงทรัพย์ จำเลยปฏิเสธ ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดียังอยู่ในฐานสงสัย พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยมีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา ๒๖๘ วรรคสุดท้าย พิพากษากลับรวมกะทงลงโทษจำคุกจำเลย ๕ ปี คำขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ให้ยกเสีย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่ผู้เสียหายให้เงินแก่จำเลยนั้นมิใช่ด้วยความสมัครใจ เป็นการให้ด้วยความฝืนใจด้วยถูกจำเลยบังคับโดยอุบาย คือถ้าผู้เสียหายไม่ให้เงินแก่จำเลยไปก็จะต้องถูกผู้ร้ายทำร้ายในภายหลัง เรียกได้ว่า จำเลยบังคับโดยใช้อำนาจอันมิชอบด้วยกฎหมายขู่เข็ญข่มขืนใจ ให้ผู้เสียหายมีความกลัวต่อภัยอันตรายในอนาคต ซึ่งจะถูกพวกปล้นทำร้าย.
พิพากษายืน.