คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 178/2507

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลทหารหาว่าปล้นทรัพย์ ฯลฯ ศาลทหารวินิจฉัยว่าพฤติการณ์ของจำเลยส่อไปในทางน่าสงสัย จำเลยอาจกระทำผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรก็ได้ แต่ไม่อยู่ในอำนาจของศาลทหารจะวินิจฉัย จึงไม่วินิจฉัยให้เด็ดขาดลงไป แต่การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์ พิพากษายกฟ้อง ดังนี้ โจทก์ย่อมนำคดีมาฟ้องจำเลยศาลพลเรือนหาว่าลักทรัพย์หรือรับของโจร ของกลางรายเดียวกันนั้นใหม่ได้ สิทธินำคดีมาฟ้องหาระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๐๕ เวลากลางคืนหลังเที่ยง ถึงวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๐๕ เวลากลางคืนก่อนเที่ยงต่อเนื่องกัน ได้มีคนร้ายลักกระบือ ๕ ตัวของเจ้าของทรัพย์ไป วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๐๕ เวลากลางวัน เจ้าทรัพย์และเจ้าพนักงานพบกระบือดังกล่าวอยู่ใกล้ ๆ บริเวณที่พักของจำเลย ทั้งนี้โดยจำเลยบังอาจร่วมกันลักหรือรับของโจรกระบือไว้ และในวันดังกล่าวเวลากลางวัน นายฉิมผู้ใหญ่บ้านซึ่งเป็นเจ้าพนักงานกับราษฎรซึ่งนายฉิมได้สั่งให้ช่วยติดตามจำเลย จะเข้าทำการจับกุม จำเลยได้บังอาจร่วมกันต่อสู้ขัดขวางโดยใช้ปืนเป็นอาวุธยิงนายฉิมกับราษฎรหลายนัด ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๓๔,๓๓๕,๓๕๗,๑๓๘,๘๓,๙๑ ริบปืน กระสุนปืนและปลอกกระสุนปืนของกลาง
จำเลยทั้ง ๓ ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้ง ๓ ผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๓๕ ให้จำคุกจำเลยคนละ ๒ ปี ข้อหาอื่นยก
จำเลยทั้ง ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ยกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานลักทรัพย์ด้วย นอกนั้นยืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้ เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยทั้ง ๓ ต่อศาลมณฑลทหารบกที่ ๔ (ศาลจังหวัดเพชรบูรณ์) หาว่าปล้นทรัพย์(กระบือรายเดียวกับคดีนี้) พยายามฆ่าผู้อื่นเพื่อเอาไว้ ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแต่การที่ตนได้กระทำความผิด และหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ได้กระทำไว้ ศาลทหารดังกล่าววินิจฉัยแต่เพียงว่า พฤติการณ์ของจำเลยส่อไปในทางน่าสงสัยจำเลยอาจกระทำผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรก็ได้ ซึ่งความผิดดังกล่าวไม่อยู่ในอำนาจของศาลทหารจะวินิจฉัยได้ จึงไม่วินิจฉัยให้เด็ดขาดลงไป และการที่พวกจำเลยยิงปืนต่อสู้กับนายฉิมก็ไม่ทำให้เกิดเป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์ไปได้ ส่วนความผิดฐานพยายามฆ่า ไม่พอฟังลงโทษพิพากษายกฟ้อง โจทก์จึงนำคดีมาฟ้องจำเลยทั้ง ๓ เป็นคดีนี้อีกนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลทหารไม่ได้วินิจฉัยว่าจำเลยทั้ง ๓ ผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรแต่ประการใดเพราะเห็นว่าเมื่อไม่เป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์ดังฟ้องเสียแล้ว คดีก็ไม่อยู่ในอำนาจศาลทหารจะพิจารณา ซึ่งถ้าความผิดฐานปล้นทรัพย์ขึ้นศาลพลเรือน แม้โจทก์ฟ้องว่าปล้นทรัพย์ แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่าเป็นลักทรัพย์ก็ย่อมลงโทษฐานลักทรัพย์ได้ เพราะลักทรัพย์เป็นการกระทำอย่างหนึ่งซึ่งเป็นความผิดอาญาได้อยู่ในตัวเองในความผิดฐานปล้น ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่ามีคำพิพากษาเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๓๙(๔) นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นฟ้องด้วย พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share