คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1254/2493

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สามีภริยาทำหนังสือขึ้นฉะบับหนึ่งระบุไว้ว่า เป็นสัญญาประนีประนอมเพื่อระงับข้อพิพาทเรื่องเรือนและสวน+ไม่ให้ต้องเป็นความกันใน+ศาล โดยตกลงโอนกรรมสิทธิสวนแปลง+ให้บุตรคน ๆ ละส่วนนับแต่วันทำสัญญาแม้จะมีข้อความ+ให้บุตรทั้งสองเข้าถือสิทธิครอบครองได้ต่อเมื่อสามีภริยาตายแล้วทั้งสอง คน ก็ถือได้ว่าเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา + และเป็นสัญญาซึ่งคู่สัญญาตกลงจะชำระหนี้แก่บุตร ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก บุตรจึงมีสิทธิจะเรียกชำระหนี้จากคู่สัญญาได้ตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา 374 วรรคต้น และ+บุตรได้แสดงเจตนาถือเอาประโยชน์จากสัญญานี้แล้ว สิทธิของบุตรก็เกิดขึ้นแล้วตามวรรค 2 บุตร+ฟ้องขอให้ปฏิบัติตามสัญญา+ได้
โจทก์เคยฟ้องจำเลย ขอแบ่งทรัพย์ตามเอกสารฉบับหนึ่ง+ว่าเป็นพินัยกรรม์ ศาลพิพากษายกฟ้องว่า ไม่ใช่พินัยกรรมคดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์มาฟ้องจำเลยใหม่ตามสัญญาเอกสารฉะบับเดียวกันนั้น อ้างว่าเป็นสัญญาประนีประนอมของบุคคลอื่นที่ยกทรัพย์ให้แก่โจทก์ โจทก์ฟ้องได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ

ย่อยาว

ได้ความว่า โจทก์เป็นบุตรนายหลีท่ามเกิดแต่ภริยาเดิม จำเลยเป็นภริยาใหม่ของนายหลีท่าม เกิดบุตรด้วยกันชื่อนางกิมม่อย เมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๔๙๐ นายหลีท่ามกับจำเลยทำหนังสือสัญญาประนีประนอมขึ้นฉะบับหนึ่ง มีข้อความดังต่อไปนี้
” ตำบลตาเนาะปุเต้ะ
๒๗ มีนาคม ๒๔๙๐
ข้าพเจ้านายหลีท่าม แซ่หลี สามีนางปรางภรรยาได้ตกลงกันทำสัญญาประนีประนอม เพื่อระงับเหตุพิพาทเรื่องที่ดินสวนยางพร้อมเรือนหลังหนึ่งซึ่งได้ถือสิทธิปกครองร่วมกันมาแต่เดิมโดยมิต้องให้เป็นความกันยังโรงศาล จึงพร้อมใจกันตกลงทำสัญญาแบ่งมรดกรายนี้ออกเป็นส่วน ๆ เพื่อยกให้แก่นางกิมม่อยและนายกิมโพ่ผู้เป็นบุตรทั้งสองคนพี่น้องดังนี้
ข้อ ๑ ในที่ดินสวนยาง ๑ แปลง ซึ่งนายหลีท่ามและนางปรางได้ทำโก่นสร้างมาร่วมกันจนบัดนี้มีอาณาเขตทิศตะวันออก ๑๕๐ วา จดลำธาร ทิศตะวันตก ๑๕๐ วาจดลำธาร ทิศเหนือ ๒๕๐ วาจดลำธาร ทิศใต้ ๒๕๐ วาจดลำธาร คิดเป็นเนื้อที่ ๙๓ ไร่ ๓ งาน ที่รายนี้อยู่ในหมู่ที่ ๑ ตำบลเนาะปุเต้ะ อำเภอบันนังสตา ยอมตกลงแบ่งส่วนเท่า ๆ กัน ยกให้เป็นกรรมสิทธิแก่นางกิมม่อย ๑ ส่วน กับยกให้เป็นกรรมสิทธิแก่นายกิมโพ่ ๑ ส่วน
ข้อ ๒ ในการที่นางกิมม่อยและนายกิมโพ่จะเข้าถือสิทธิครอบครองได้ต่อเมื่อนายหลีท่ามผู้บิดาและนางปรางมารดาถึงแก่กรรม ลงหมดแล้วทั้งสองคน ถ้าหากว่านายหลีท่ามหรือนางปรางถึงแก่กรรมลงแต่คนเดียว นางกิมม่อยและนายกิมโพ่ยังให้ถือสิทธิปกครองไม่ได้
ข้อ ๓ ในระหว่างที่นายหลีท่ามบิดา นางปรางมารดายังมีชีวิตอยู่ ก็มีอำนาจถือสิทธิปกครองในที่ดินรายนี้ไปก่อนจนกว่าจะถึงแก่กรรมหมดทั้งสองคน
ข้อ ๔ เมื่อนายหลีท่ามและนางปรางถึงแก่กรรมลงหมดแล้ว นางกิมม่อยและนายกิมโพ่จะคิดแบ่งมรดกโดยต่างคนต่างจะถือสิทธิปกครองเป็นส่วน ๆ ก็แล้วแต่จะสมัครใจกันทั้ง ๒ คนพี่น้อง
ข้อ ๕ สัญญานี้ทำขึ้นทั้งสองฉะบับ มีข้อความอย่างเดียวกัน มอบให้นางกิมม่อยยึดถือไว้ฉะบับ ๑ มอบให้นาย+โพ่ถือไว้ ๑ ฉะบับ ผู้ทำสัญญาเข้าใจข้อความตลอดแล้ว ให้ลงชื่อไว้ต่อหน้าพยาน
ลงชื่อ(อักษร+) หลีท่าม ผู้ทำสัญญา
” (ลายพิมพ์นิ้วมือ) นางปราง ”
” (ดีมิน) อักษรมลายู พยาน
” (อักษร+) ซิ่นฟุ้ง ”
” เผียน ศิริสวัสดิ์ ผู้เขียน
บัดนี้นายหลีท่ามตายลง จำเลยไปยื่นคำร้องต่อโจทก์จึงฟ้องขอให้ห้ามจำเลยให้เอาสวนยางรายนี้ไปขาย
ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้ซ้ำกับคดีแอก คดีแดงที่ ๓๐/๒๔๙๑ และว่าคดีขาดอายุความ ให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาประชุมใหญ่ เห็นว่า หนังสือนี้กล่าวไว้ชัดว่าเป็นสัญญาประณีประนอมยอมความเพื่อระงับข้อพิพาทเรื่องเรือนและสวนยางรายนี้ไม่ให้ต้องเป็นความกัน นายหลีท่ามกับนางปรางจึงได้ตกลงกันทำหนังสือฉะบับนี้ แบ่งสวนรายพิพาทให้โจทก์กับนางกิมม่อยเสียคนละครึ่ง หนังสือฉะบับนี้จึงเป็นสัญญาประนีประนอมความตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา ๘๕๐ จำเลยจะผูกพันตามข้อสัญญาฉะบับนี้ และสัญญาฉะบับนี้เป็นสัญญาที่จำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งตกลงจะชำระหนี้แก่โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก โจทก์จึงมีสิทธิจะเรียกชำระหนี้จากจำเลยได้โดยตรงได้ตามมาตรา ๓๗๔ วรรคต้น เมื่อจำเลยจะเอาที่สวนรายนี้ไปขายโจทก์ได้เข้าคัดค้านแสดงเจตนาแก่จำเลยว่า โจทก์จะถือเอาประโยชน์จากสัญญานี้แล้วสิทธิของโจทก์จึงเกิดขึ้นแล้วตามความในวรรค ๒
ส่วนในข้อที่ว่าเป็นฟ้องซ้ำ เห็นว่าในคดีแดงที่ ๓๐/๒๔๙๑ +โจทก์ฟ้องขอแบ่งมรดกตามพินัยกรรมสิทธิที่อ้างตามฟ้องและประเด็นเป็นคนละอย่างกับคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับห้ามจำเลย+ขายสวนยางรายพิพาทเท่าที่โจทก์ขอมาในฟ้อง

Share