คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 101/2507

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า เพื่อการค้าประเวณี จำเลยบังอาจเข้าไปมั่วสุมในบ้านเลขที่ 169 อันเป็นสถานค้าประเวณี ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2503 มาตรา 5 ทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยเข้าไปในบ้านดังกล่าว อันเป็นสถานการค้าประเวณี หยอกล้อ กอดจูบ กับชายหลายคนร่วมกับหญิงอื่นในห้องที่ปิดประตู พอตำรวจไปจับกุม จำเลยก็หลบไปซ่อนในห้องลับกับหญิงที่มั่วสุมค้าประเวณี ดังนี้ฟังได้ว่า การกระทำของจำเลยเป็นการเข้าไปมั่วสุมเพื่อการค้าประเวณีอันเป็นความผิดตามความหมายแห่งพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2503 มาตรา 5 แล้ว โจทก์ไม่จำเป็นต้องสืบให้ได้ความว่าจำเลยเคยค้าประเวณี สำส่อนเพื่อสินจ้างมาก่อน เพราะโจทก์มิได้ฟ้องและขอให้ลงโทษจำเลยในฐานทำการค้าประเวณีด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เพื่อการค้าประเวณี จำเลยบังอาจเข้าไปมั่วสุมในบ้านเลขที่ ๑๖๙ ถนนนครไชยศรี อันเป็นสถานการค้าประเวณี ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ.๒๕๐๓ มาตรา ๕
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยเข้าไปมั่วสุมในบ้านเลขที่ ๑๖๙ อันเป็นสถานการค้าประเวณี หยอกล้อ กอดจูบ กับชายหลายคนร่วมกับหญิงอื่นในห้องที่ปิดประตู พอตำรวจไปจับกุม จำเลยก็หลบไปซ่อนในห้องลับกับหญิงอื่นที่มั่วสุมค้าประเวณี พิพากษาว่า จำเลยผิดตามพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ.๒๕๐๓ มาตรา ๕(๓) ปรับ ๑๐๐ บาท
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายที่ว่า เพียงแต่การเข้าไปมั่วสุมในสถานการค้าประเวณีอย่างเดียวไม่เป็นความผิด จะต้องประกอบเพื่อการค้าประเวณีด้วย ซึ่งโจทก์จะต้องนำสืบว่าจำเลยเคยค้าประเวณีมาก่อน เป็นผู้สำส่อนในทางประเวณีมาแล้ว และเป็นไปเพื่อสินจ้าง จึงจะมีความผิด
ศาลฎีกาได้พิเคราะห์บทวิเคราะห์ศัพท์คำว่า การค้าประเวณีในมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ.๒๕๐๓ แล้วเห็นว่า การกระทำของจำเลยที่เข้าไปหยอกล้อกอดจูบกับชายหลายคนในห้องที่ปิดประตูในสถานการค้าประเวณีเช่นนั้นฟังได้ว่าเป็นการเข้าไปมั่วสุมเพื่อการค้าประเวณี อันเป็นความผิดตามความหมายแห่งพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ.๒๕๐๓ มาตรา ๕ แล้ว โจทก์ไม่จำเป็นต้องสืบให้ได้ความว่าจำเลยเคยค้าประเวณี สำส่อนเพื่อสินจ้างมาก่อน เพราะโจทก์มิได้ฟ้องและขอให้ลงโทษจำเลยในฐานทำการค้าประเวณีด้วย พิพากษายืน

Share