แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ได้ไปร้องขอให้กรมเจ้าท่าทำการโอนขายเรือของโจทก์ให้แก่ ส. ในชั้นแรกไม่ได้รับอนุญาตให้โอน จำเลยซึ่งเป็นรองอธิบดีกรมเจ้าท่า ได้เรียกร้องให้โจทก์ชำระเงิน 56000 บาท เพื่อเป็นค่าทำถนนในกรมเจ้าท่าเสียก่อนจึงจะอนุญาตให้ทำการโอนได้ โจทก์จึงจำต้องชำระเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่จำเลย แล้วจำเลยจึงได้สั่งอนุญาตให้ทำการโอนเรือในวันนั้นเอง ดังนี้แม้จำเลยจะนำสืบได้ว่าได้เอาเงินจำนวนนี้ไปใช้ลาดยางทำถนนให้แก่กรมเจ้าท่า จำเลยก็ย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้ทำการทุจจริตตามนัยแห่งมาตรา 6 (3) กฎหมายอาญา โจทก์ย่อมเป็นผู้เสียหายจากการกระทำของจำเลยและมีสิทธิที่จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยได้
กรณีเช่นนี้ย่อมแตกต่างกับเรื่องเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา ซึ่งเป็นการให้เงินแก่กันโดยสมัครใจ
(อ้างฎีกา 406/2486, 394/131)
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ไปยื่นคำร้องต่อจำเลยซึ่งเป็นรองอธิบดีกรมเจ้าท่า ขอขายเรือของโจทก์ให้แก่นายประสิทธิ์ จำเลยได้บีบบังคับให้โจทก์จ่ายเงิน ๕๖๐๐๐ บาท ให้แก่กรมเจ้าท่า โดยจำเลยอ้างว่าเพื่อลาดยางแอลฟัลด์บนถนนในกรมนั้น ซึ่งเป็นอันมิควรได้ตามกฎหมาย โดยโจทก์เพทุบายว่าให้นายประสิทธิเป็นผู้เสนอให้เงินนี้แก่กรมเจ้าท่า โจทก์ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ จึงได้พานายประสิทธิ์ไปจ่ายเงินจำนวนนั้นให้แก่จำเลย ณ กรมเจ้าท่า แล้วจำเลยก็สั่งอนุญาตโอนขายเรือสำเร็จไปภายใน ๒-๓ ชั่วโมงนั้นเอง ขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๖,๑๓๗,๖๓ ตามที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ ๒๔๗๗ และ ๒๔๘๔.
จำเลยให้การปฏิเสธและต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์ไม่ยืนยันว่าจำเลยรับไว้เป็นสินน้ำใจส่วนตัว แต่กลับยืนยันว่ารับไว้สร้างถนนให้กรมเจ้าท่าอันเป็นประโยชน์ของหลวงหรือของราชการแผ่นดิน หาใช่ประโยชน์ส่วนตัวจำเลยหรือบุคคลอื่นตามความหมายของกฎหมายไม่ และโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายตาม ป.วิ. อาญา มาตรา ๒๘
ศาลอาญาวินิจฉัยว่าข้อต่อสู้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น แต่ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ไม่ได้ถูกจำเลยบีบบังคับให้ให้เงิน และเงินจำนวนนี้เป็นของนายประสิทธิ์ แม้จะฟังว่าเป็นเงินของโจทก์ให้นายประสิทธิ์จ่ายไป นายประสิทธิ์ก็เป็นตัวแทนของโจทก์ แสดงเจตน์จำนงของโจทก์ว่าสมัครใจให้เงินนั้นเพื่อสาธารณะกุศล จึงเรียกไม่ได้ว่าดจทก์เป็๋นผู้เสียหายซึ่งเทียบได้กับเรื่องเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา โจทก์จะต้องให้พนักงานอัยยการฟ้องแทนจึงพิพากษายกฟ้อง แต่มีผู้พิพากษานาย ๑ ทำความเห็นแย้งว่า จำเลยควรมีความผิดตามมาตรา ๑๓๖ กฎหมายอาญา ควรลงโทษจำคุกจำเลย ๑ ปี
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าเงินทำถนนนั้นเป็นเงินของโจทก์ แต่โจทก์สืบไม่ได้ว่าจำเลยบีบบังคับ หากจะฟังอย่างโจทก์ว่าก็เป็นแต่เพียงจำเลยแนะนำให้ออกเงินช่วยทางราชการเท่านั้น จำเลยจึงไม่มีความผิด พิพากษายืน แต่มีผู้พิพากษานายหนึ่งทำความเห็นแย้งว่า ควรลงโทษจำเลยดังความเห็นแย้งของศาลอาญา แต่ควรรอการลงอาญาไว้และอนุญาตให้โจทก์ฎีกาได้ตามมาตรา ๒๒๑ ป.วิ.อาญา
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่าเงินรายนี้เป็นของโจทก์ แต่โจทก์ให้นายประสิทธิ์ออกหน้าเป็นผู้จ่าย การโอนเรือรายนี้โจทก์วิ่งเต้นขออนุญาตทำการโอน แต่ไม่ได้รับอนุญาตจนถึงโจทก์ร้องเรียนไปถึงรัฐมนตรีก็ไม่ได้ผล โจทก์ส่งคนไปเจรจากับจำเลย ในที่สุดจำเลยให้โจทก์ออกเงินจำนวนนี้ทำถนนที่กรมเจ้าท่า โจทก์ยอมปฏิบัติตามคำจำเลยจึงได้ทำการโอนเรือเป็นผลสำเร็จ ฟังได้ว่าโจทก์ได้ยอมให้เงินไปโดยถูกจำเลยบังคับเรียกน้องเอา
เงินรายนี้แม้จำเลยจะสืบได้ว่าไปใช้ลาดยางให้แก่กรมเจ้าท่า ก็เห็นว่าการกระทำของจำเลยคงเป็นความผิดตามมาตรา ๑๓๖ เพราะถือได้ว่าจำเลยเป็นผู้ทำการทุจจริตตามนัยแห่งมาตรา ๖ (๓) กฎหมายอาญา ข้อที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องโดยอ้างฎีกาที่ ๙๖๘/๒๔๗๙ และ ๑๑๘๓/๒๔๙๐ นั้น ปรากฎว่าเรื่องตามที่ฎีกาที่โจทก์อ้างเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราอันเป็นกฎหมายพิเศษ และรูปคดีเป็นคนละอย่างกับคดีนี้คือ กรณีตามฎีกาดังกล่าวเป็นเรื่องให้เงินแก่กันโดยสมัครใจ แต่กรณีนี้เป็นเรื่องโจทก์ให้เงินไปโดยถูกจำเลยบังคับควรเทียบตามฎีกาที่ ๕๐๖/๒๔๖๘ และ ๓๙๔/๑๗๑ จึงพิพากษากลับศาลล่างทั้งสองว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา ๑๓๖ กฎหมายอาญาที่แก้ไขเพิ่มเติมให้จำคุกจำเลยมีกำหนด ๑ ปี แต่ให้รอการลงอาญาจำเลยไว้ตามกฎหมายอาญามาตรา ๔๐/๔๓