คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 841/2503

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้ตามหนังสือสัญญากู้จำเลยให้การต่อสู้คดีว่า จำเลยได้ทำสัญญากู้ เงินโจทก์แต่ จำเลยได้ทำสัญญากู้เงินโจทก์จริง แต่ได้ชำระเงินกู้พร้อมด้วยดอกเบี้ยให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว โดยโจทก์จำเลยตกลงกันว่า โจทก์จะเป็นผู้รับเงินค่าจ้างทำทางจากกรมทางฯ แทนบริษัทพาณิชย์ฯ ซึ่งจำเลยรับจ้างจากบริษัทพาณิชย์ ฯ ขุดดินถมคันทางที่บริษัทพาณิชย์ฯ รับจ้างสร้างทางจากกรมทางฯ และโจทก์ก็ได้รับเงินจากกรมทางฯ ไปแล้วโดยโจทก์ได้หักเงินจำนวนนั้น ชำระหนี้เงินที่จำเลยกู้ พร้อมด้วยดอกเบี้ยครบถ้วนแล้ว หนี้สินระหว่างโจทก์จำเลยจึงไม่มีเหลืออยู่ ที่จำเลยให้การต่อสู้ดังนี้ ย่อมหมายความว่า หนี้เงินกู้รายนี้ได้ระงับโดยมีใช้เงินกันแล้ว หาใช่ระงับไปเพราะมีการยอมรับเอาสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นแทนเงินไม่ เมื่อการใช้หนี้เงินกู้รายนี้ จำเลยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ให้กู้มาแสดงทั้งจำเลยยอมรับว่าสัญญากู้เวลานี้ยังอยู่ที่โจทก์โดยมิได้มีการสลักหลังกันแต่ประการใด จำเลยย่อมไม่มีสิทธิที่จะนำสืบการใช้เงินกู้นี้ได้ เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 653 วรรค 2.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้ตามสัญญากู้จากจำเลย โดยกล่าวในฟ้องว่า โจทก์เป็นบริษัทจำกัด มีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการธนาคารจำเลยเป็นผู้เคยค้ำกับโจทก์ จึงคิดดอกเบี้ยทบต้น
จำเลยต่อสู้ว่า หนี้เงินกู้รายที่จำเลยได้ชำระให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว โดยโจทก์จำเลยตกลงกันว่าโจทก์จะเป็นผู้รับเงินค่าจ้างทำทางจากกรมทางฯ แทนบริษัท พาณิชย์ฯ ซึ่งตกลงจ้างเหมาะจำเลยขุดดินถมคันทางนั้น และว่าโจทก์ไม่มีอำนาจคิดดอกเบี้ย ทบต้นเพราะเป็นหนี้เงินกู้ไม่ใช่หนี้เบิกเงินเกินบัญชี
ในวันนัดพร้อม ทนายจำเลยแถลงรับว่าจำเลยได้ทำหนังสือสัญญากู้เงินท้ายฟ้องดไว้ให้โจทก์จริง แต่ได้ชำระเงินกู้รวมทั้งดอกเบี้ยให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว เวลานี้สัญญากู้ยังอยู่ที่โจทก์ครบถ้วนแล้ว เวลานี้สัญญากู้ยังอยู่ที่โจทก์โดยมิได้มีการสลักหลังกันประการใด และจำเลยขอสืบในข้อที่ได้มีการชำระหนี้กันแล้ว โดยจะมีหลักฐานมาแสดง
ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยมีหลักฐานการชำระเงินมาแสดง มิหนำซ้ำยังรับอีกว่า สัญญากู้ที่โจทก์ฟ้องยังอยู่ที่โจทก์โดยมิได้มีการสลักหลังกันประการใด เห็นว่าจำเลยไม่มีสิทธินำสืบได้ ที่จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์ไม่มีอำนาจคิดคอเบี้ยทบต้นเพราะเป็นหนี้เงินกู้ ไม่ใช่หนี้เบิกเงินเกินบัญชีจึงต้องห้ามตามกฎหมายนั้น ศาลชั้นต้นเห็นว่า ในข้อ ๒ หนังสือมอบอำนาจของโจทก์ท้ายฟ้อง มีข้อความว่า ธนาคารของโจทก์ดำเนินกิจการค้าในทางให้กู้ยืนเงินด้วย โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๕ วรรค ๒ จำเลยต่อสู้อีกว่า เงินดอกเบี้ยที่ค้างชำระ กฎหมายห้ามเรียกเกินว่า ๕ ปี ข้อนี้ศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์ไม่ได้ฟ้องเรียกเฉพาะดอกเบี้ย แต่เรียกต้นเงินรวมทั้งรวมทั้งดอกเบี้ย แต่เรียกต้นเงินรวมทั้งดอกเบี้ยด้วย จึงไม่เข้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๖ พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๕๕,๙๙๕.๑๑ บาท ให้โจทก์ และให้จำเลยเสียดอกเบี้ยจากต้นเงิน ๕๕,๙๙๕.๑๑ บาทา ในอัตราร้อยละ ๑๒ ต่อไป โดยคิดดอกเบี้ยทบต้นเป็นรายเดือน นับแต่วันฟ้องไปจนชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ตามที่จำเลยให้การต่อสู้คดีนั้น เป็นกรณีที่โจทก์ตกลงยอมรับเอาทรัพย์สินอื่น คือ สิทธิในการที่จำเลยจะได้รับโอนเงินจากกรมทางฯ เป็นการชำระหนี้รายนี้ แทนเงินที่กู้ยืม เป็นการขอนำสืบถึงการระงับหนี้อย่างอื่น ตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๖ วรรค ๒และมาตรา ๓๒๑ ไม่ใช่เป็นนำสืบการใช้เงินคืนตามมาตรา ๖๕๓ วรรค ๒ จำเลยจึงนำสืบได้โดยพยานบุคคล จึงพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาพิพากษาใหม่
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว เห็นว่าตามที่จำเลยให้การต่อสู้ดังนั้น ย่อมหมายว่าจำเลย ให้ต่อสู้ดังนั้น ย่อมหมายความว่าจำเลยต่อสู้ว่าหนี้เงินกู้รายนี้ได้ระงับไปแล้ว โดยโจทก์ได้เอาเงิน มาชำระให้ คือเอาเงินที่โจทก์ได้รับมาจากกรมทางฯ มาชำระหนี้รายนี้นั่นเอง ฉะนั้น เท่ากับจำเลยได้ต่อสู้คดีว่า หนี้เงินกู้รายนี้ได้ระงับไปโดยมีการใช้เงินกันแล้ว หาใช่ระงับหาใช่ระงับไปเพราะมีการยอมรับเอาสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นแทนเงินไม่ เมื่อการใช้หนี้เงินกู้รายนี้ จำเลยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ให้กู้มาแสดงทั้งจำเลยยอมรับว่าสัญญากู้เวลานี้ยังอยู่ที่โจทก์โดยมิได้มีการสลักหลังกันแต่ประการใด จำเลยย่อมไม่มีสิทธิที่จะนำสืบการใช้เงินกู้นี้ได้ เพราะต้องห้ามมาตรา ๖๕๓ วรรค ๒. ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เป็นกรณีที่โจทก์ตกลงยอมรับเอาทรัพย์สินอื่นคือ สิทธิในการที่จำเลยจะได้รับเงินจากกรมทางฯ เป็นการชำระหนี้รายนี้แทนเงินที่กู้ยืมนั้น เป็นการวินิจฉัยคลาดเคลื่อนไปจากคำให้การของจำเลย เพราะตามคำให้การของจำเลย จำเลยมิได้เป็นผู้รับเหมาสร้างทางกับกรมทางฯ หากแต่บริษัทพาณิชย์ ฯ ต่างหาก เป็นผู้รับเหมาสร้างทางจากกรมทางฯ
แล้วบริษัทพาณิชย์ฯ ได้มาตกลงจ้างจำเลยให้ขุดดินถมคันทางลายดังกล่าวอีกทีหนึ่ง จำเลยจึงไม่ใช่คู่สัญญากับกรมทางฯ และไม่มีสิทธิในการที่จะได้รับเงินจากกรมทางฯ แต่ประการใด ข้อนี้มีปรากฏให้คำให้การของคำให้การของจำเลยชัดแล้วว่า โจทก์ได้เป็นผู้ไปรับเงินมากจากกรมทางฯ แทนบริษัท พาณิชย์ฯ ไม่ใช่แทนจำเลย จำเลยไม่ใช่เป็นเจ้าหนี้ของกรมทางฯ และก็ไม่มีฐานะเป็นเจ้าหนี้โจทก์ที่จะมาหักหลบหนี้กันได้ดังจำเลยอ้าง แต่คดีนี้ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัย เฉพาะเรื่องสิทธิของจำเลยที่จะนำพยานมาสืบถึงการชำระหนี้รายนี้เท่านั้น ยังไม่ได้วินิจฉัยอุทธรณ์ในข้ออื่น ๆ ของจำเลย จึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของจำเลยนอกจากนำสืบเรื่องการชำระหนี้ แล้วพิพากษาใหม่

Share