แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อกฎหมาย และทั้งวินิจฉัยด้วยว่า คดีไม่ปรากฎเจตนาทุจจริตของจำเลย โจทก์อุทธรณ์ในข้อกฎหมายแลว่าจำเลยมีเจตนาทุจจริตศาลอุทธรณ์วินิจฉัยพะยานโจทก์ว่า ไม่ควรเชื่อจึงพิพากษายืนดังนี้ไม่เรียกว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีผิด ม.194 แห่งประมวลวิธีพิจารณาอาญา ปัญหาข้อเท็จจริง เจตนาทุจจริตหรือไม่เป็นปัญหาข้อเท็จจริง
ย่อยาว
คดีเรื่องนี้โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยยักยอกโค ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า โคของ ต.หายไปตัวหนึ่งติดตามไม่พบ รุ่งขึ้นนายเทียนไปซื้อไก่ กลับมาบอก ท.ว่าพบโคตัวที่หายที่บ้านจำเลย และได้บอกฝากจำเลยไว้แล้วครั้น ท.ไปเอาจำเลยกลับปฏิเสธว่ามิได้รับฝากไว้จากนายเทียน จึงวินิจฉัยว่านายเทียนไม่ใช่เจ้าทรัพย์หรือพวกเจ้าทรัพย์อันรู้เห็นถึงเรื่องโคหายมาก่อนได้จัดการไปโดยพละการ จึงไม่ถือว่าเป็นการมอบหมายทรัพย์โดยชอบด้วยกฎหมาย และเมื่อไม่ปรากฎเจตนาทุจจริตของจำเลยจึงยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าพะยานโจทก์เบิกความแตกต่างกันเชื่อไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยว่าการฝากสมบูรณ์หรือไม่
โจทก์ฎีกาว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีผิดประมวลวิธีพิจารณาความอาญา ม.๑๙๔ เพราะโจทก์อุทธรณ์แต่เพียงข้อกฎหมายว่าการฝากทรัพย์นั้นสมบูรณ์แล้ว ศาลอุทธรณ์ไม่ถือข้อเท็จจริงตามศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาตัดสินว่านอกจากข้อกฎหมายแล้วศาลชั้นต้นยังพิพากษาในข้อเท็จจริงว่า ไม่ปรากฎเจตนาทุจจริตของจำเลยอีก และโจทก์ได้ฟ้องอุทธรณ์ในข้อนี้ด้วย ฉะนั้นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าไม่ควรเชื่อพะยานโจทก์นั้นก็เท่ากับศาลอุทธรณ์ยกเอาข้อเท็จจริงที่มิได้กล่าวไว้ในคำพิพากษาศาลชั้นต้นมากล่าวด้วย แต่ผลก็เหมือนกันคือไม่เชื่อข้อเท็จจริงตามที่โจทก์กล่าวหา จึงเรียกไม่ได้ว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีผิด ม.๑๙๔ แห่งประมวลวิธีพิจารณาความอาญา จึงพิพากษาให้ยกฎีกาโจทก์