แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เจ้าพนักงานเอาทรัพย์ของหลวงที่ได้รับมอบหมายไว้ไปจำนำ โดยมีเจตนาจะไถ่คืนนั้น ไม่เป็นผิดฐานเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ แม้จำเลยผู้สมรู้มิได้ฎีกาเมื่อศาลพิพากษายกฟ้องปล่อยจำเลยซึ่งเป็นตัวการแล้ว ก็ต้องปล่อยจำเลยที่เป็นผู้สมรู้ด้วย.
ย่อยาว
ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าพนักงานได้รับมอบหมายให้มีหน้าที่ปกครองรักษาทรัพย์สิ่งของ ๆ หลวงที่ใช้ในเรือยนตร์ แล้วจำเลยได้เอาทรัพย์ที่รับมอบหมายไว้บางอย่างให้จำเลยที่ ๒ ไปจำนำรวม ๓ ครั้ง ครั้นเงินเดือนออกจำเลยทั้งสองก็พากันไปไถ่ทรัพย์กลับคืนมาโดยครบถ้วน
ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยที่ ๑ ไม่มีความผิดฐานยักยอกตาม ม.๑๓๑ เพราะไม่มีเจตนาเบียดบังเอาทรัพย์นั้นแต่ประการใด จำเลยที่ ๒ เป็นผู้สมรู้จึงไม่มีความผิดด้วยพิพากษาให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าการเอาทรัพย์ไปจำนำ แม้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์นั้นยังไม่เปลี่ยนก็ดี แต่ทรัพย์นั้นต้องตกอยู่ในสิทธิยึดหน่วงของผู้รับจำนำ จำเลยที่ ๑ เอาทรัพย์ของหลวงที่ตนได้รับมอบหมายไปจำนำเอาเงินให้เพื่อประโยชน์ตน อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนี้จำเลยที่ ๑ ต้องมีความผิดฐานยักยอกทรัพย์ตามกฎหมายอาญา ม.๑๓๑ จำเลยที่ ๒ เป็นผู้สมรู้ จึงพิพากษากลับให้ลงโทษจำเลยทั้งสอง
จำเลยที่ ๑ ผู้เดียวฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยที่ ๑ มิได้มีเจตนาที่จะเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเจตนาให้ทรัพย์สูนย์หายไปจากเจ้าของ การกระทำยังไม่เข้าอยู่ในลักษณะยักยอกทรัพย์ตาม ม.๑๓๑ จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้องโจทก์
ส่วนจำเลยที่ ๒ แม้จำมิได้ฎีกา แต่เมื่อจำเลยที่ ๑ ผู้เป็นตัวการไม่มีผิดแล้วจำเลยที่ ๒ เป็นผู้สมรู้ก็ไม่ผิดด้วย จึงให้ปล่อยจำเลยทั้งสองไป