คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 356/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องผิดตำบล ถ้าจำเลยไม่หลงข้อต่อสู้ศาลพิพากษาลงโทษได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้บังอาจลักสร้อยคอทองคำและพระเลี่ยมทองคำซึ่งบุตรผู้เสียหายสวมใส่อยู่ โดยจำเลยใช้กิริยาฉกฉวยกระชากสร้อยคอและพระเลี่ยมดังกล่าวไปซึ่งหน้า เหตุเกิดที่ตำบลชนะสงคราม อำเภอพระนคร จังหวัดพระนคร
จำเลยให้การปฏิเสธฟ้อง
ชั้นพิจารณา จำเลยยื่นคำแถลงต่อสู้ในปัญหาข้อกฎหมายว่า ท้องสนามหลวงซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุนั้นอยู่ในตำบลพระบรมมหาราชวัง และหาใช่ตำบลชนะสงครามดังที่โจทก์ฟ้องและนำสืบไม่ แล้วจำเลยนำพยานบุคคลเข้าสืบเพียงปากเดียวถึงตำบลของสถานที่เกิดเหตุเท่านั้น
ศาลชั้นต้นเห็นว่าสถานที่เกิดเหตุนั้น ฝ่ายโจทก์ว่าอยู่ในตำบลชนะสงคราม ส่วนฝ่ายจำเลยเข้าใจว่าอยู่ในตำบลพระบรมมหาราชวังซึ่งแท้ที่จริงแล้วก็คือท้องสนามหลวงนั่นเอง จึงไม่ใช่สารสำคัญและไม่ทำให้จำเลยหลงข้อต่อสู้ พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า ท้องสนามหลวงซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุนั้นอยู่ในตำบลพระบรมมหาราชวัง ดังที่จำเลยกล่าวอ้าง แต่จำเลยมิได้หลงข้อต่อสู้พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่า ท้องสนามหลวงอยู่ในตำบลพระบรมมหาราชวัง แต่จำเลยก็ได้ถูกจับกุมในเวลาอันกระชั้นชิดกับเวลาเกิดเหตุนั่นเอง ซึ่งปรากฏว่าจำเลยก็มิได้นำสืบโต้แย้งในข้อนี้แต่ประการใด ฉะนั้น แม้โจทก์จะฟ้องผิดตำบลที่เกิดเหตุก็ตาม แต่ก็หาใช่แตกต่างในข้อสารสำคัญไม่ จำเลยมิได้หลงข้อต่อสู้แต่ประการใด ศาลย่อมลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความมาได้ ตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๕๗๖/๒๕๐๐ พิพากษายืน ยกฎีกาจำเลย.

Share