แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยลักทรัพย์ หรือรับของโจรทรัพย์สิ่งของที่ใช้เพื่อสาธารณะประโยชน์อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองสิ่งที่ใช้เพื่อสาธารณะประโยชน์ในภาวะคับขัน พ.ศ. 2486 มาตรา 3 กำหนดโทษอย่างสูงไว้ถึงจำคุก 10 ปีขึ้นไป ดังนี้ แม้จำเลยรับสารภาพว่าได้กระทำผิดฐานรับของโจรแล้ว โจทก์ก็นำพยานมาสืบให้ศาลฟังพะยานต่อไปได้ตาม ป.ม.วิ.อาญามาตรา 176 ได้ และเมื่อทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยกระทำผิดฐานลักทรัพย์ อันเป็นความผิดที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลย ศาลก็ต้องลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ตามความผิดที่ได้กระทำ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยลักทรัพย์หรือรับของโจร ท่อน้ำประปา ซึ่งเป็นสิ่งที่ใช้ในการจ่ายกระแสร์น้ำประปาเพื่อสาธารณะประโยชน์ไป ๑ ท่อราคา ๒๒๘ บาท ขอให้ลงโทษ
จำเลยให้การว่าได้กระทำผิดฐานรับของโจร ฯลฯ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว ฟังว่าจำเลยกระทำผิดฐานลักทรัพย์ตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๒๙๓ พ.ร.บ.คุ้มครองสิ่งที่ใช้เพื่อสาธารณะประโยชน์ในภาวะคับขัน ๒๔๘๖ มาตรา ๓ ให้จำคุก ๓ ปี ฯลฯ
จำเลยอุทธรณ์, ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา, ศาลสั่งรับเฉพาะข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาเห็นว่า ในกรณีที่โจทก์ฟ้องจำเลยหาว่าลักทรัพย์หรือรับของโจร และจำเลยได้รับสารภาพว่าได้กระทำผิดฐานรับของโจรแล้ว เช่นนี้ ในลักาณะความผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรธรรมดา ศาลจะยุติการพิจารณาและพิพากษาคดีตามคำรับของจำเลยทีเดียวหรือไม่ก็ตาม แต่สำหรับคดีนี้เป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยกระทำผิดอาญาต่อสิ่งที่ใช้เพื่อสาธารณะประโยชน์ อันมี พ.ร.บ.คุ้มครองสิ่งที่ใช้เพื่อสาธารณะประโยชน์ในภาวะคับขัน พ.ศ. ๒๔๘๖ บัญญัติโทษไว้เป็นพิเศษ และมาตรา ๓ กำหนดโทษไว้ถึงจำคุก ๑๐ ปี ขึ้นไป ซึ่งตาม ป.ม.วิ.อาญามาตรา ๑๗๖ จำเลยกระทำผิดจริง และเมื่อทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยกระทำผิดฐานลักทรัพย์ อันเป็นความผิดที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลย ศาลก็ต้องลงโทษตามความผิดที่ได้กระทำ
จึงพิพากษายืน