แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
นิติกรรมสัญญาใดที่แยกออกได้เป็นส่วน ๆ หากส่วนใดตกเป็นโมฆะ ก็หาทำให้ส่วนที่สมบูรณ์ตกเป็นโมฆะไปด้วยไม่ โจทก์จ้างจำเลยทำงานในร้านเครื่องพิมพ์ดีดของโจทก์โดยมีข้อสัญญาว่าเมื่อออกจากร้านโจทก์ไปแล้วห้ามมิให้ จำเลยไปทำการเป็นช่างแก้ซ่อมเครื่องพิมพ์ดีดในร้านอื่นในเขตต์กรุงเทพเช่นนี้ไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุ ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ค่าธรรมเนียม
ย่อยาว
ปรากฎว่าจำเลยเข้าทำสัญญาเป็นลูกจ้างโจทก์โดยมีข้อตกลงกันว่า ถ้าจำเลยออกจากบริษัทโจทก์ไปแล้วภายในเวลา ๕ ปี จำเลยจะไม่เข้าทำงานเป็นเจ้าของผู้จัดการ เสมียน ช่างซ่อม คนใช้หรือคนขายของในกิจการใดที่เป็นปฏิปักษ์ต่อบริษัทโจทก์ในเขตต์กรุงเทพฯ และในบริเวณ ๖๐๐ เส้นจากกรุงเทพฯ บัดนี้ จำเลยออกจากบริษัทโจทก์ไปทำงานกับบริษัทอื่นในแผนกพิมพ์ดีด จึงฟ้องขอห้ามและเรียกค่าเสียหาย
ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าสัญญาที่ห้ามมีกำหนดเวลา ๕ ปีนั้นเป็นการพอสมควรอยู่ แต่การที่กำหนดเขตต์นั้นเป็นการตัดอาชีพเกินสมควรไปจึงเป็นการขัดขวางต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนตกเป็นโมฆะตามประมวลแพ่งฯ ม.๑๑๓ ให้ยกฟ้องโจทก์โดยไม่วินิจฉัยประเด็นข้ออื่น
ศาลฎีกาเห็นว่าเขตต์จำกัดห้ามในสัญญาที่ว่าในกรุงเทพฯ และห่างจากกรุงเทพฯ ๖๐๐ เส้นนี้แบ่งแยกจากกันได้ การห้ามมิให้กระทำในเขตต์กรุงเทพฯ เป็นการรักษาผลประโยชน์ของโจทก์พอควรแก่เหตุย่อมไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงแยกบังคับได้ตาม ม.๑๓๕ แห่งประมวลแพ่ง ฯ และเห็นว่าเฉพาะประเด็นในคดีนี้มีว่าจำเลยไปทำงานเป็นช่างซ่อมแก้เครื่องพิมพ์ดีดนั้นควรจะห้ามได้เพราะเป็นการสมควรเกี่ยวแก่ผลประโยชน์ของโจทก์ ฉะนั้นที่ศาลชั้นต้นว่าการห้ามมิให้เป็นคนใช้ในร้านเครื่องพิมพ์ดีดอื่นเป็นโมฆะนั้นจึงไม่ทำให้การห้า+เป็นช่างแก้ตกเป็นโมฆะไปด้วยเพราะแยกจากกันได้ เมื่อข้อสัญญาเท่าที่เกี่ยวกับการกระทำของจำเลยไม่เป็นโมฆะแล้วก็ต้องวินิจฉัยว่าโจทก์ปฎิบัติตามสัญญาครบถ้วยแล้วหรือไม่ซึ่งข้อนี้เป็นข้อเท็จจริงอันศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยมาจึงพิพากษาให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในประเด็นข้อนี้ใหม่แล้วพิพากษาไปตามรูปคดี ค่าธรรมเนียมในชั้นนี้ให้ผู้แพ้คดีในที่สุดเป็นผู้เสีย