แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยใช้ให้ผู้มีชื่อตัดไม้สักโดยไม่ได้รับอนุญาต แล้วจำเลยจัดการชักลากไม้นั้นออกจากป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตและไม่ได้เสียค่าภาษีค่าตอและไม่ได้ตีตราฆ้อนเหล็กของเจ้าพนักงาน ทางพิจารณาไม่ปรากฎว่าใครเป็นผู้ตัดหรือเป็นผู้ชักลากปรากฎแต่ว่าไม้มาอยู่ที่จำเลยดังนี้ ต้องถือว่าจำเลยเป็นผู้ชักลากไม้นั้นตามข้อสันนิษฐานในข้อ 5 แห่ง พ.ร.บ.ป้องกันการลักลอบชักลากไม้สักฯ ลงโทษจำเลยตามความในข้อ 3 ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า (ก) ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม ๒๔๘๑ จำเลยใช้หรือจ้างวานนายคำกับพวกตัดไม้สักรวม ๕ ต้นโดยไม่ได้รับอนุญาต และ(ข)ระหว่างเดือนมีนาคมกับเดือนเมษายน ๒๔๘๒ จำเลยจัดการชักลากไม้สัก ๕ ต้นนั้นออกจากป่าโดยไม่ได้เสียภาษีค่าตอและไม่ได้ตีตราฆ้อนเหล็กของเจ้าพนักงาน
จำเลยให้การว่าไม่ได้ใช้หรือจ้างวานนายคำกับพวกตัดฟันชักลากไม้ จำเลยได้รับอนุญาตให้ตัดฟันชักลากไม้สักยืนต้นและขอนนอน แต่ได้จ้างนายสุดใจเป็นผู้จัดการแทนตัวทุกอย่างโดยจำเลยไม่ได้เข้าเกี่ยวข้องจำเลยพึ่งทราบว่าไม้ ๕ ต้นนี้เข้ามารวมอยู่ในกองไม้ของจำเลยเมื่อเจ้าพนักงานมาพบไม้ ๕ ต้นที่โจทก์หาเป็นไม้ที่ไม่มีตราของเจ้าพนักงานประทับให้ตัดฟันหรือชักลากจริงโจทก์จำเลยไม่สืบพะยาน
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ปรับจำเลย ๘๐ บาทตาม พ.ร.บ.ป้องกันการลักลอบชักลากไม้สักฯ ร.ศ.๑๑๘ ข้อ ๓ ลดเสียกึ่งหนึ่งคงเหลือ ๔๐ บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตาม พ.ร.บ.ป้องกันการลักลอบชักลากไม้สักที่ยังไม่ได้เสียค่าตอและภาษี ร.ศ. ๑๑๘ ข้อ ๕ มีข้อความชัดเจนว่า “ถ้าเจ้าพนักงานพบไม้ แต่ไม่ทราบว่าผู้ใดชักลากเช่นนี้ ฯลฯ ถ้าไม่มีดวงตราประจำต้นให้ไต่สวนดู ถ้าไม้ตกอยู่แก่ผู้ใดให้ถือว่าผู้นั้นเป็นผู้ชักลากไม้จากป่า ผิด พ.ร.บ.” คดีนี้โจทก์ไม่ได้ฟ้องว่าจำเลยใช้ให้นายคำกับพวกชักลาก เมื่อปรากฎว่าไม้สัก ๕ ต้นนี้ไม่มีตราของเจ้าพนักงานจับได้ปนอยู่ในกองไม้ของจำเลย ๆ จึงต้องมีผิดตามฟ้องข้อ ข จึงพิพากษายืนตามศาลล่าง