คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 943/2495

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้จากจำเลยตามหนังสือสัญญากู้จำเลยต่อสู้ว่าเป็นนิติกรรมอำพราง เมื่อคดีได้ความว่าความจริงเป้นเรื่องโจทก์จำเลยเข้าหุ้นส่วนกันในการแสดงลครเพื่อหาผลกำไร จำนวนเงินที่โจทก์จะมอบให้จำเลยไปซื้อหาและใช้จ่ายในการแสดงลครนั้นโจทก์ให้จำเลยทำหนังสือสัญญากู้โจทก์ไว้ เพื่อให้จำเลยเอาเงินไปใช้เพื่อประโยชน์ในการจัดการแสดงลครจริง ๆ และเพื่อป้องกันเจ้าหนี้อื่น ถ้าหากจำเลยจะไปก่อให้เกิดขึ้น มิให้มาฟ้องร้องโจทก์ในฐานเป็นหุ้นส่วน ดังนี้ สัญญากู้ดังกล่าวจึงเป็นนิติกรรมอำพราง ตกเป็นโมฆะ ตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา 118.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้จากจำเลยพร้อมทั้งดอกเบี้ยตามสัญญากู้ท้ายฟ้อง
จำเลยต่อสู้ว่า ความจริงโจทก์จำเลยเข้าหุ้นส่วนกันแสดงลคร สัญญากู้เป็นนิติกรรมอำพราง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนแล้ว ฟังว่าเมื่อจำเลยได้รับพระราชทานอภัยโทษแล้ว จำเลยประกอบอาชีพทางทำหนังสือพิมพ์ ทำงานลคร ในการทำงานลคร จำเลยเป็นผู้ออกความคิดและจัดการงาน มีนายทุนเป็นผู้ออกเงิน ผลกำไรแบ่ง ๓ ส่วน นายทุนได้ ๑ ส่วน ผู้กำกับการแสดงลครได้ ๑ ส่วน จำเลยได้ ๑ ส่วน โจทก์ในคดีนี้เป็นนายทุนจำนวนเงินที่โจทก์จะมอบให้จำเลยนำซื้อหา และใช้จ่ายในการแสดงลครนั้น โจทก์ให้จำเลยทำเป็นสัญญากู้เงินจากโจทก์ โดยทำเป็นสัญญากู้ไว้ก่อน แล้วจ่ายเงินเป็นระยะตามความต้องการในภายหลัง ทั้งนี้ทำตามคำแนะนำของทนายความเพื่อให้จำเลยเอาเงินไปใช้ เพื่อประโยชน์ในการจัดการแสดงลครจริง ๆ และเพื่อป้องกันเจ้าหนี้อื่น ถ้าหากจำเลยจะไปก่อให้เกิดขึ้น มิให้มาฟ้องร้องโจทก์ในฐานเป็นหุ้นส่วน สัญญากู้ตามเอกสาร จ.๑ นี้ ได้กระทำขึ้นโดยเจตนาของคู่กรณีทั้ง ๒ ฝ่าย หาใช่เรื่องอันแท้จริงไม่ จึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา ๑๑๘.
จึงพิพากษายืน

Share