แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ชายหญิงแต่งงานกันแล้วอยู่กินด้วยกันฉันท์สามีภริยานานราว 8 เดือน แต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส ต่อมาเพราะเหตุใดไม่ได้ความหญิงแยกไปอยู่เสียที่อื่น ภายหลังจึงแต่งงานกับชายอื่นเสีย ดังนี้เมื่อไม่ได้ความว่าฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายผิดในกรณีไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับชายแล้วฝ่ายชายก็จะฟ้องเรียกสิน สอดคืนไม่ได้ ตามแบบอย่างฎีกาที่ 269/2488
เงินค่าใช้จ่ายในการแต่งงาน ไม่ถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายในการเตรียมการสมรสตาม ป.ม.แพ่งฯ มาตรา 1439(2) ชายจะฟ้องเรียกไม่ได้ ตามแบบอย่างฎีกาที่ +/2491
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑-๒ บิดามารดาจำเลยที่ ๓ ได้รับเงินสินสอด ๑๐๐๐ บาทจากโจทก์แล้วยกจำเลยที่ ๓ ให้เป็นภรรยาโจทก์ แต่งงานและอยู่กินด้วยกันฉันท์สามีภริยา แต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส ต่อมาจำเลยที่ ๑-๒ กลับเอาจำเลยที่ ๓ ไปยกให้เป็นภรรยาจำเลยที่ ๔ โจทก์จึงฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ ๑-๒ คืนสินสอด ๑๐๐๐ บาท และบังคับจำเลยทุกคนใช้ค่าใช้จ่ายที่โจทก์สิ้นเปลืองไปในการแต่งงาน ๑๘๐๐ บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า เงินสินสอดและค่าใช้จ่ายในการแต่งงาน โจทก์ฟ้องเรียกไม่ได้
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยที่ ๑-๒ คืนเงินค่าสินสอด ๑๐๐๐ บาทแก่โจทก์ และให้จำเลยทั้ง ๕ ช่วยกันใช้เงินค่าใช้จ่ายในการแต่งงาน ๑๘๐๐ บาทแก่โจทก์
จำเลยทั้ง ๕ ฎีกา
ศาลฎีกาปรึกษาคดีแล้ว ได้ความว่าโจทก์จ่ายเงินให้จำเลยที่ ๑-๒ ๑๐๐๐ บาทเป็นเงินสินสอดแล้วจำเลยที่ ๑-๒ จัดการแต่งงานจำเลยที่ ๓ ให้เป็นภรรยาโจทก์แต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส โจทก์กับจำเลยที่ ๓ อยู่กินด้วยกันฉันท์สามีภริยานานราว ๘ เดือน ครั้นแล้วจะโดยเหตุใดไม่ได้ความ จำเลยที่ ๓ แยกไปอยู่เสียที่อื่น ไม่อยู่กับโจทก์ต่อมามิช้านานจำเลยที่ ๓ ทำการสมรสใหม่กับจำเลยที่ ๔ คราวนี้จดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย
ตามสำนวนไม่ได้ความว่าจำเลยเหล่านี้เป็นฝ่ายผิดในการที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับโจทก์ เพราะฉะนั้นโจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายชายจึงฟ้องเรียกสินสอดไม่ได้ ตามแบบอย่างคำพิพากษาฎีกาที่ ๒๖๙/๒๔๘๘
ส่วนเงินค่าใช้จ่ายในการแต่งงาน ไม่ถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายในการเตรียมการสมรส ตาม ป.ม.แพ่งฯ มาตรา ๑๔๓๗(๒) โจทก์ย่อมฟ้องเรียกไม่ได้อยู่แล้วตามแบบอย่างคำพิพากษาฎีกาที่ ๙๔๕/๒๔๙๑
จึงพิพากษากลับให้บังคับคดีอย่างศาลชั้นต้น