แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฎีกาของจำเลยมีเพียงว่า “ข้าพเจ้าถือเอาคำอุทธรณ์ของจำเลยในปัญหาข้อกฎหมายเป็นส่วนหนึ่งของฎีกาจำเลยด้วย” จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195, 225
ย่อยาว
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบังอาจสมคบกันลักทรัพย์หรือรับของโจร จำเลยที่ ๑ เคยถูกศาลพิพากษาจำคุกและมากระทำผิดคดีนี้ภายในกำหนด ๑ ปี ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๓๕ (๑), (๑๑), ๓๕๗, ๘๓, ๘๕
จำเลยที่ ๑ ให้การปฏิเสธข้อที่เคยต้องโทษรับว่าจริง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่าจำเลยเก็บของกลางได้แล้วนำไปขายและถูกจับโดยจำเลยที่ ๒ ไม่ทราบว่าเป็นของร้าย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ ๒ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๗ ให้จำคุก ๒ ปี คำให้การชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา เป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ ๑ ใน ๓ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุกจำเลยที่ ๒ มีกำหนด ๑ ปี ๔ เดือน ให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ ๑ เสีย
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่าฎีกาของจำเลย ข้อ ก. เป็นปัญหาข้อกฎหมายให้รับเฉพาะฎีกาข้อนี้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฎีกาของจำเลยที่ ๒ ข้อ ก. นี้ มีข้อความเพียงว่า “ข้าพเจ้าถือเอาคำอุทธรณ์ของจำเลยในปัญหาข้อกฎหมายเป็นส่วนหนึ่งของฎีกาของจำเลยด้วย” ศาลฎีกาเห็นว่า ฎีกาของจำเลยมิได้อ้างอิงแสดงกฎหมายให้ชัดเจนในข้อกฎหมายที่ฎีกา จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๕ ประกอบด้วยมาตรา ๒๒๕ พิพากษาให้ยกฎีกาของจำเลยเสีย