คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1416/2505

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่บิดาจดทะเบียนเด็กเป็นบุตรนั้น เป็นเรื่องให้ประโยชน์แก่เด็ก หากปรากฏว่าผู้จะให้ความยินยอมคือ เด็กนั้นอายุน้อยไร้เดียงสาและมารดาก็ถึงแก่กรรมไปก่อนไม่อยู่ในฐานะ ที่จะให้ความยินยอมได้ การจดทะเบียนเด็กเป็นบุตรก็สมบูรณ์โดยไม่ต้องให้ความยินยอม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้ง ๔ กับนางจำปี เรือนทอง เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน นางจำปีได้จำเลยที่ ๑ เป็นสามีแต่มิได้จดทะเบียนสมรส เกิดบุตร ๑ คนเมื่อ ๒๕ มีนาคม ๒๕๐๓ ชื่อเด็กหญิงจำลอง ต่อมา ๑ เมษายน ๒๕๐๓ นางจำปีตาย ทรัพย์ท้ายฟ้องจึงเป็นมรดกตกได้แก่เด็กหญิงจำลอง ครั้น ๒๒ เมษายน ๒๕๐๓ เด็กหญิงจำลองตาย ทรัพย์สินดังกล่าวจึงตกแก่โจทก์ทั้งสี่ ซึ่งเป็นลุง ป้า น้า อา ในเดือนพฤษภาคม ๒๕๐๓ จำเลยที่ ๑ ยื่นคำร้องต่อหอทะเบียนที่ดินขอรับมรดกเด็กหญิงจำลอง อ้างว่าเป็นบุตร และจำเลยที่ ๒ ก็ละเมิดเข้าไถนาตามบัญชีท้ายฟ้อง โจทก์ห้ามแล้วไม่ฟัง จึงฟ้องขอให้พิพากษาว่าโจทก์ทั้งสี่เป็นทายาทเด็กหญิงจำลอง กับให้จำเลยทั้งสองใช้เงินค่าเสียหายที่โจทก์ขาดการทำนา ๓,๐๐๐ บาท
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า เด็กหญิงจำลองเป็นบุตรของจำเลย ๆ ได้จดทะเบียนรับรองเด็กหญิงจำลองเป็นบุตรที่อำเภอโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว มรดกจึงตกแก่จำเลยที่ ๑ เพียงผู้เดียว ส่วนจำเลยที่ ๒ ให้การว่า ทำนาโดยเช่าจากจำเลยที่ ๑ ค่าเสียหายสูงเกินความจริง
คู่ความแถลงรับกันว่า จำเลยที่ ๑ กับนางจำปีอยู่กินกันฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรส มีบุตรด้วยกันคนหนึ่ง คือ เด็กหญิงจำลอง ต่อมานางจำปีตาย แล้วจำเลยที่ ๑ ได้จดทะเบียนรับรองเด็กหญิงจำลองเป็นบุตรเมื่อ ๑๔ เมษายน ๒๕๐๓ ปรากฏตามสำเนาทะเบียนการรับรองบุตรหมาย จ.๑ ต่อมาเด็กหญิงจำลองตาย คู่ความตกลงท้ากันว่าขอให้ศาลวินิจฉัยจากเอกสาร หมายจ. ๑ นี้ว่า การที่จำเลยที่ ๑ จดทะเบียนรับรองบุตรโดยไม่ได้รับความยินยอมของเด็กและมารดาเด็กจะถือว่าเป็นการสมบูรณ์หรือไม่ ถ้าศาลวินิจฉัยว่าเป็นการสมบูรณ์ฝ่ายโจทก์ยอมแพ้ ถ้าไม่สมบูรณ์จำเลยยอมแพ้ ส่วนค่าเสียหายโจทก์ตกลงเรียกเพียง ๒,๐๐๐ บาท คู่ความไม่สืบพยาน
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ จดทะเบียนรับรองเด็กหญิงจำลองว่าเป็นบุตรตามเอกสารหมาย จ. ๑ เป็นการสมบูรณ์แล้ว เพราะนางจำปีตายก่อนเด็กหญิงจำลอง และเด็กหญิงจำลองตายขณะยังไร้เดียงสา ไม่อยู่ในฐานะจะให้ความยินยอมได้ จึงไม่ตัดสิทธิจำเลยที่ ๑ ในการจดทะเบียนรับรองบุตร โจทก์จึงเป็นฝ่ายแพ้คดีตามคำท้า พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การจดทะเบียนรับรองบุตรของจำเลยที่ ๑ ไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย จำเลยต้องแพ้คดีตามคำท้า พิพากษากลับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๒๗ บิดาจะจดทะเบียนเด็กเป็นบุตรได้ต่อเมื่อได้รับความยินยอมของเด็กและมารดา และเด็กกับมารดาเด็กจะคัดค้านได้เพียงประการเดียว คือ ผู้ร้องไม่ใช่บิดา ซึ่งมีความมุ่งหมายที่จะคุ้มครองสิทธิที่เด็กจะพึงได้รับจากผู้เป็นบิดา เป็นเรื่องให้ประโยชน์แก่เด็ก และการให้ความยินยอมนี้เป็นเรื่องเฉพาะตัว ผู้อื่นจะให้ความยินยอมแทนไม่ได้ ฉะนั้น การที่กฎหมายบังคับให้ผู้ขอรับรองบุตรต้องได้รับความยินยอมของเด็กและมารดาเด็กก็ต่อเมื่อเด็กและมารดาของเด็กอยู่ในฐานะที่จะให้ความยินยอมได้ เมื่อเด็กและมารดาของเด็กไม่อยู่ในรฐานะที่จะให้ความยินยอมได้จะถือเป็นข้อตัดสิทธิของบิดาเด็กมิให้จดทะเบียนรับรองบุตร และตัดสิทธิของเด็กที่จะพึงได้รับย่อมไม่ตรงกับเจตนารมย์ของบทบัญญัติดังกล่าว ทั้งโจทก์ผู้มีส่วนได้เสียก็ยอมรับว่าเด็กหญิงจำลองเป็นบุตรของจำเลยที่ ๑ จริง ตามเอกสาร จ.๑ นายทะเบียนได้บันทึกถึงเหตุที่ไม่มีเด็ก และมารดาเด็กให้ความยินยอมไว้ว่า เด็กหญิงจำลองอายุยังไม่ครบ ๑ เดือนยังไร้เดียงสา จึงมิได้ลงชื่อให้ความยินยอม และนางจำปีมารดาเด็กหญิงจำลองก็ถึงแก่กรรมไปแล้ว นับเป็นกรณีที่เด็กและมารดาเด็กไม่อยู่ในฐานะที่จะให้ความยินยอมได้ จึงถือได้ว่าการที่จำเลยที่ ๑ จดทะเบียนรับรองเด็กหญิงจำลองเป็นบุตรตามเอกสารหมาย จ. ๑ เป็นการสมบูรณ์ตามกฎหมายแล้ว โจทก์จึงต้องเป็นฝ่ายแพ้คดีตามคำท้า
พิพากษากลับ บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share