คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1091/2482

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลอุทธรณ์จะไม่ฟังคำแถลงตามที่คู่ความร้องขอก็ได้
ค่าเสียหายกับเบี้ยปรับมีนัยเป็นคนละอย่างต่างกัน เรื่องเรียกค่าเสียหายเป็นสิทธิโดยบังคับของกฎหมายเกิดขึ้นเอง เรื่องเบี้ยปรับเกิดขึ้นได้แก่โดยตกลงกำหนดกันไว้ เรื่องเบี้ยปรับตามสัญญานั้นถ้อยคำในสัญญาจะเรียกชื่อว่าเป็นค่าอะไรไม่สำคัญข้อสำคัญอยู่ที่ความมุ่งหมายอันแท้จริงของคู่สัญญาซึ่งปรากฎในสัญญานั้น ข้อสัญญาที่ว่าจะใช้ค่าเสียหายให้วันละ 5 บาทนั้นพอถือได้ว่าเป็นข้อสัญญาให้เบี้ยปรับวันละ 5 บาท
เมื่อศาลล่างให้เบี้ยปรับมาแรงเกินไป ศาลฎีกามีอำนาจลดเบี้ยปรับลงอีกได้

ย่อยาว

จำเลยได้จ้างโจทก์พิมพ์หนังสือสยามอุโฆษทั้ง ๒ ฝ่ายตกลงกันว่า ถ้าโจทก์ไม่ทำหนังสือให้เสร็จในกำหนดโจทก์ยอมให้จำเลยปรับวันละ ๕ บาท(สัญญาข้อ ๔ ) ถ้าโจทก์ยื่นบิลเก็บเงินแล้วจำเลยไม่ชำระเงินให้ภายใน ๕ วันแล้ว จำเลยยอมใช้ค่าเสียหายให้โจทก์วันละ ๕ บาท (สัญญาข้อ ๖ )
โจทก์ฟ้องว่าพิมพ์หนังสือและยื่นบิลให้จำเลยแล้ว จำเลยไม่ชำระเงินให้ตามสัญญาขอเรียกเงินค่าจ้างพิมพ์ ๕๘๓ บาท ๒๕ สตางค์กับค่าปรับตามสัญญา ๑๒๔ วันเป็นเงิน ๖๒๐ บาท
ศาลแพ่งเห็นว่าค่าเสียหายที่จำเลยยอมใช้ให้โจทก์วันละ ๕ บาทนั้นหมายถึงค่าเสียหายจริง ๆ ไม่ใช่ค่าปรับ โจทก์สืบไม่พอฟังว่าเสียหายไปเท่าใด จึงกำหนดให้ตามสมควร พิพากษาให้จำเลยใช้เงินค่าจ้างพิมพ์ ๕๘๓ บาท ๒๕ สตางค์ กับค่าเสียหายตามอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าค่าเสียหายกับค่าปรับหรือเบี้ยปรับมีนัยคนละอย่าง ค่าเสียหายเป็นสิทธิโดยบังคับของกฎหมายเดิมนั้นเองเบี้ยปรับหรือค่าปรับเป็นเรื่องเกิดขึ้นได้โดยตกลงกำหนดกันไว้ สัญญาข้อ ๖ (ข้อที่จำเลยยอมใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์วันละ ๕ บาท) จึงต้องเป็นค่าปรับหรือเบี้ยปรับ ไม่ใช่ค่าเสียหายคำที่ใช้เรียกชื่อจะเรียกว่าเป็นค่าอะไรไม่สำคัญ จึงพิพากษาแก้ให้จำเลยใช้ค่าเบี้ยปรับ ๖๒๐ บาทตามฟ้องอีกด้วย
จำเลยฎีกาว่าจำเลยยื่นคำแถลงไว้ว่าจะมาว่าคดีชั้นอุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาไปโดยมิได้มีคำสั่งกำหนดวันพิจารณาให้คู่ความทราบขัดต่อประมวลวิธีพิจารณาแพ่ง ม.๒๔๐,๒๔๑,๒๔๒ และสัญญาข้อ ๖ เป็นเรื่องค่าเสียหายไม่ใช่เบี้ยปรับ
ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลอุทธรณ์อาจพิจารณาไปโดยไม่ต้องฟังคำแถลงของคู่ความอีกก็ได้ ไม่ขัดด้วยกฎหมายที่จำเลยอ้าง และวินิจฉัยต่อไปว่า ค่าเสียหายกับเบี้ยปรับมีนัยเป็นคนละอย่างต่างกันจริงดังศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้ว สัญญาข้อ ๖ ซึ่งจำเลยเป็นฝ่ายให้สัญญาหมายถึงเบี้ยปรับเช่นเดียวกับที่ฝ่านโจทก์ให้สัญญา ถ้อยคำที่ใช้ในสัญญาจะเรียกชื่อว่าเป็นค่าอะไรไม่สำคัญ ข้อสำคัญอยู่ที่ความมุ่งหมายอันแท้จริงของคู่สัญญาซึ่งปรากฎในเอกสารนั้น ๆ ศาลอุทธรณ์พิพากษามาชอบแล้วแต่เห็นว่าเบี้ยปรับที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์มามากไป โดยอาศัยอำนาจตามประมวลแพ่งฯ ม.๓๘๓ จึงพิพากษาแก้ให้จำเลยใช้เบี้ยปรับเพียง ๓๐๐ บาทนอกนั้นยืนตาม

Share