แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 2 เป็นคู่สู้ประมูลกับผู้เสียหาย ๆ ประมูลได้จำเลยได้รู้ว่ามีการนำหลักฐานเท็จไปค้ำประกันในสัญญาประมูล นี้จึงจะจัดการร้องเรียนได้มีการไกล่เกลียและในที่สุดจำเลยได้รับเงินจากผู้เสียหายจำนวนหนึ่งแล้วก็งดการร้องเรียน จำเลยที่ 1 เป็นผู้เข้าไกล่เกลี่ยตามนี้ ดังนี้ไม่เป็นผิดฐานกรรโชก
ย่อยาว
ได้ความว่าเดิมจำเลยที่ ๒ กับผู้เสียหายเข้าประมูลรับขนส่งไปรษณีย์ภัณฑ์ต่อเจ้าพนักงาน ผู้เสียหายประมูลได้ในการทำสัญญารับขนส่งได้มีนายลิ่วเลี่ยงเข้าค้ำประกัน จำเลยที่ ๒ ทราบเรื่องนางสิงเลี่ยงนำหลักฐานเท็จไปค้ำประกันในสัญญานี้ จึงคิดจะจัดการร้องเรียนต่อเจ้าพนักงาน ซึ่งถ้าได้มีการร้องเรียนขึ้นแล้วผู้เสียหายจะต้องถูกเลิกสัญญาประมูลและจำเลยที่ ๒ อาจได้รับประมูลแทนจำเลยที่ ๑ ผู้เป็นญาติกับผู้เสียหายได้เข้าไกล่เกลี่ย ในที่สุดผู้เสียหายได้ตกลงยอมให้เงินแก่จำเลยที่ ๒ จำนวนหนึ่ง จำเลยที่ ๒ ได้รับเงินรายนี้ไว้ส่วนหนึ่งแล้ว จึงได้งดไม่ร้องเรียนเรื่องนี้ต่อไป ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่ารูปคดีไม่เป็นผิดฐานกรรโชกเพราะจำเลยที่ ๒ เชื่อโดยสุจริตว่าตนเสียหายในเรื่องนี้ จึงเรียกเอาค่าเสียหายซึ่งเป็นการใช้สิทธิโดยปกติ พิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าการที่จำเลยที่ ๑ พูดจาไกล่เกลี่ยให้จำเลยที่ ๒ งดการฟ้องร้องผู้เสียหายต่อกรมไปรษณีย์นั้น เป็นการจัดการให้ทั้ง ๒ ฝ่ายได้ปราณีประนอมกันโดยเจตนาสุจริต ส่วนจำเลยที่ ๒ ได้ยอมงดการฟ้องร้องผู้เสียหายโดยได้รับเงินชดใช้จากผู้เสียหาย ก็โดยความเชื่อโดยสุจริตว่าตนเสียหายจากเรื่องนี้ ทั้งผู้เสียหายได้ยอมให้เงินรายนี้แก่จำเลยก็เพื่อประโยชน์ของตนที่จะมิต้องถูกฟ้องร้องให้ต้องเลิกสัญญา ดังนี้การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการบังคับขู่เข็ญผู้เสียหายและไม่มีเจตนาทุจจริตประการใดไม่เป็นผิดฐานกรรโชก จึงพิพากษายืน