แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในคดีส่วนอาญา ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา
จำเลยไปขอออก น.ส.3 สำหรับที่พิพาท โจทก์ร้องคัดค้าน เจ้าหน้าที่เปรียบเทียบไม่ตกลง และสั่งให้โจทก์มาฟ้องภายใน 30 วัน โจทก์ไม่ฟ้อง จนเวลาล่วงเลยเกินกว่าปี เมื่อโจทก์เป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาทอยู่โจทก์ก็ไม่จำเป็นต้องฟ้องภายในกำหนดดังกล่าว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดิน ๑ แปลง มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดิน คือ น.ส.๓ ขึ้นทะเบียนแล้ว โจทก์ได้ครอบครองเป็นเจ้าของและทำประโยชน์ จำเลยสมคบกันนำรถไถเข้าไปในที่ดินของโจทก์ไถต้นถั่วของโจทก์เสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๘,๓๕๙,๓๖๒,๘๒ ให้ขับไล่จำเลยและบริวารและให้ใช้ค่าเสียหายและค่าที่เสียประโยชน์
จำเลยให้การปฏิเสธ เมื่อประมาณ พ.ศ.๒๕๐๒ โจทก์กับพวกได้ร้องต่ออำเภอว่า จำเลยขอรังวัดที่ดินรวมเอาที่ของโจทก์เข้าไว้ ทางอำเภอให้โจทก์ฟ้องใน ๓๐ วัน แต่โจทก์ไม่ฟ้อง ฟ้องของโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเชื่อว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยเอารถไปไถทำลายต้นถั่วที่โจทก์ปลูกไว้เสียหาย พิพากษา ว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๕๘,๓๕๙,๓๖๒ แต่ให้ลงโทษตามมาตรา ๓๕๙ ซึ่งเป็นบทหนักปรับจำเลยที่ ๑ เป็นเงิน ๕๐๐ บาท ปรับจำเลยที่ ๒ เป็นเงิน ๑,๐๐๐ บาท ให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปพ้นที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าเสียหาย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ในคดีอาญา เพราะจำเลยยื่นอุทธรณ์เกิน ๑๕ วัน คงให้รับเฉพาะคดีแพ่ง
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องกล่าวหาจำเลยเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาหาว่าจำเลยบุกรุกที่พิพาทซึ่งเป็นที่ดินของโจทก์ ศาลพิพากษาว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ ลงโทษจำเลยฐานบุกรุกและขับไล่จำเลย คดีส่วนอาญาจำเลยไม่อุทธรณ์ภายใน ๑๕ วัน ศาลจึงสั่งไม่รับอุทธรณ์ คดีส่วนอาญาจึงถึงที่สุดไปแล้ว คงมีประเด็นอุทธรณ์ฎีกาขึ้นมาเฉพาะส่วนแพ่ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๔๖ บัญญัติว่า ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา และข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองที่พิพาทตลอดมา มิได้ละทิ้ง
ข้อที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยไปขอออก น.ส.๓ สำหรับที่พิพาท โจทก์ร้องคัดค้านเจ้าหน้าที่เปรียบเทียบไม่ตกลง และสั่งให้โจทก์ไปฟ้องภายใน ๓๐ วัน โจทก์ไม่ฟ้อง จนเวลาล่วงเลยเกินกว่าปี คดีขาดอายุความนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าโจทก์เป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาทอยู่มิได้ละทิ้ง โจทก์ก็ไม่จำเป็นต้องไปฟ้องภายในกำหนดเวลาดังกล่าว และคดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกที่พิพาทเมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๐๔ โจทก์ฟ้องเมื่อพฤษภาคม ๒๕๐๔ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่หมดสิทธิที่จะฟ้องคดีนี้จึงชอบแล้ว
พิพากษา