คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 261/2488

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยชนะคดีแพ่งเรื่องเรียกเงินกู้จากโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริงคดีอาญาคดีถึงที่สุดและยึดทรัพย์ชำระหนี้แล้ว ภายหลังศาลสูงพิพากษาในคดีอาญาว่าโจทก์ไม่ได้ทำหนังสือกู้ให้จำเลยดังนี้ โจทก์จะมาฟ้องเรียกเงินคืนไม่ได้เพราะเป็นการฟ้องซ้ำ และการรับชำระหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งมีผลบังคับตามกฎหมายนั้น ไม่เข้าลักษณะลาภมิควรได้.

ย่อยาว

ได้ความว่า เดิมจำเลยฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญา หาว่าโจทก์ลักสัญญากู้เงินและโฉนดที่โจทก์มอบให้จำเลยไป ศาลชั้นต้นชี้ขาดว่า โจทก์มิได้ลัก แต่ได้เป็นลูกหนี้จำเลยอยู่จริงให้ยกฟ้องของจำเลย คู่ความทั้งสองฝ่ายต่างอุทธรณ์ ระหว่างคดีอยู่ในชั้นอุทธรณ์นั้น จำเลยได้ฟ้องโจทก์เป็นคดีแพ่งเรียกเงินกู้รายนั้น ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชนะคดี คดีถึงที่สุด จำเลยจึงยึดทรัพย์โจทก์ขายทอดตลาด ส่วนคดีอาญาที่มีอุทธรณ์ศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยฟังข้อเท็จจริงว่า ไม่ได้ทำหนังสือสัญญากู้กัน โจทก์จึงมาฟ้องคดีนี้ ขอเรียกเงินที่จำเลยรับใช้ไปตามคำพิพากษาในคดีแพ่งเรื่องนั้น โดยอ้างว่าเมื่อข้อเท็จจริงในคดีอาญา ศาลฎีกาพิพากษาชี้ขาดว่าไม่มีหนี้สินต่อกันแล้ว เงินที่จำเลยรับไปจึงไม่มีมูลจะอ้างกฎหมายได้ เข้าลักษณะเป็นลาภมิควรได้ ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินพร้อมทั้งค่าเสียหาย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นว่า การที่โจทก์ฟ้องขอให้ทำลายคำพิพากษาในคดีแพ่งที่ตัดสินให้โจทก์ใช้เงินแก่จำเลยนั้นไม่เป็นการฟ้องซ้ำ คำพิพากษาในคดีแพ่งนั้นต้องพูกเพิกถอนไปโดยคำชี้ขาดของศาลฎีกาในคดีอาญาแล้วว่า โจทก์ไม่ได้เป็นหนี้จำเลย เงินที่จำเลยรับไปจากโจทก์จึงเข้าลักษณะเป็นลาภมิควรได้ ให้จำเลยคืนเงินให้โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาพิพากษาว่า การที่โจทก์มารื้อฟื้นในคดีนี้ว่า ตามที่ศาลเดิมตัดสินในคดีแพ่งว่า โจทก์เป็นหนี้เงินกู้จำลเย แต่ความจริงโจทก์ไม่ได้เป็นหนี้จำเลยตามคำชี้ขาดของศาลฎีกาในคดีอาญานั้น โจทก์ฟ้องไม่ขึ้นตาม ป.ว.พ. มาตรา 148 เพราะประเด็นในคดีนี้กับคดีแพ่งเดิมนั้นเหมือนกันว่าโจทก์เป็นหนี้เงินกู้ยืมจำเลยหรือไม่ คำพิพากษาในคดีอาญาก็ไม่ลบล้างคำพิพากษาในคดีแพ่ง และคดีไม่เข้าลักษณะลาภมิควรได้ เพราะจำเลยรับชำระหนี้จากโจทก์ไปตามคำพิพากษาซึ่งมีผลบังคับตามกฎหมาย พิพากษากลับให้จำเลยชนะคดี

Share