แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ชายมีภรรยาอยู่แล้ว ยังไปมีภรรยาใหม่อีก แล้วพาภรรยาใหม่ไปจดทะเบียนสมรส และไม่ถือว่าภรรยาเก่าเป็นภรรยา ซึ่งแสดงว่าชายหมดอาลัยใยดีต่อภรรยาเก่าแล้ว ถือได้ว่า ชายกระทำเป็นปฏิปักษ์ต่อลักษณะการเป็นสามีภริยากับภรรยาเก่าอย่างร้ายแรง และชายยังมิได้ส่งเสียเลี้ยงดูภรรยาเก่าและบุตรตามคำสัญญาประนีประนอมเป็นเวลาปีเศษ โดยไม่มีเหตุจำเป็นอันใด ดังนี้ ภรรยเก่าฟ้องขอหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากับชายได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากับจำเลย
จำเลยให้การว่ายังรักใคร่โจทก์อยู่ ฯลฯ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจท
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยมีโจทก์เป็นภรรยาอยู่แล้ว ยังพานางสมใจไปจดทะเบียนเป็นภริยาอีก และจำเลยไม่ถือว่าโจทก์เป็นภรรยา ซึ่งแสดงว่าจำเลยหมดอาลัยใยดีต่อโจทก์อย่างแน่นอน และจำเลยไม่ได้ส่งเงินตามที่ได้ทำสัญญาประนีประนอมกัน ศาลอุทธรณ์เห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากัน โจทก์อย่างร้ายแรง สมควรที่จะหย่าขาดจากกันได้ จึง พิพากษาให้หย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน และให้โจทก์เป็นผู้ปกครองบุตร
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนแล้ว ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยพานางสมใจไปจดทะเบียนสมรส และจำเลยยังเบิกความต่อศาลด้วยว่า เพื่อให้นางสมใจมีฐานะเป็นภรรยาตามกฎหมายขึ้น ทั้ง ๆ ที่จำเลยก็เบิกความว่า รู้อยู่แล้วว่า ผู้ชายมีเมียตามกฎหมายได้เพียงคนเดียว ซึ่งเพียงเท่านี้ก็เห็นได้ชัด ๆ แล้วว่า มิหนำซ้ำยังได้ความว่า จำเลยมิได้ส่งเสียเลี้ยงดูโจทก์และบุตรตามสัญญาประนีประนอมเป็นเวลาปีเศษ โดยไม่มีเหตุจำเป็นอันใด ศาลอุทธรณ์พิพากษาไว้ชอบแล้ว
จึงพิพากษายืน