คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1181/2505

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 350 นั้น การโอนทรัพย์ต้องประกอบด้วยเจตนา เพื่อมิให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนเป็นประการสำคัญด้วย
การที่ลูกหนี้เลิกห้างเดิมและขยายกิจการตั้งบริษัทขึ้นใหม่มีทุนมากขึ้นนั้น ยังถือไม่ได้ว่าลูกหนี้มีเจตนาย้ายหรือโอนทรัพย์เพื่อมิให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมจำเลยทั้งสองเข้าหุ้นส่วนทำการค้าร่วมกันในห้างหุ้นส่วนจำกัดเซี่ยงไฮ้การพิมพ์ ห้างหุ้นส่วนนี้เป็นลูกหนี้โจทก์ ๘๔,๕๐๐ บาท โจทก์จึงฟ้องห้างดังกล่าวและจำเลยที่ ๑ ขอให้ใช้ จำเลยได้มีเจตนาทุจริตสมคบกันเลิกห้างหุ้นส่วนจำกัดเซี่ยงไฮ้การพิมพ์อย่างไม่มีการชำระบัญชี และได้โอนสินทรัพย์ให้จำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ยักยอกเอาทรัพย์นั้นไปทำเป็นทุน เข้าหุ้นในบริษัทนวการพิมพ์ ทำให้โจทก์เสียหาย เป็นการฉ้อโกง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๐,๘๓
ศาลไต่สวนแล้ว สั่งว่าคดีมีมูลให้ประทับรับฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๐ บัญญัติว่า ผู้ใดเพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ซึ่งได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ ย้ายไปเสีย ซ่อนเร้น หรือโอนไปให้แก่ผู้อื่นซึ่งทรัพย์ใด ๆ ก็ดี ฯ ต้องระวางโทษดังนี้ หมายความว่า การโอนทรัพย์นั้นต้องประกอบด้วยเจตนาเพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนเป็นประการสำคัญด้วย แต่เมื่อศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงต่อไปว่าหลักทรัพย์ของจำเลยยังมีอยู่ และบริษัทที่จำเลยโอนทรัพย์ไปตั้งขึ้นใหม่นั้น ก็เป็นการขยายกิจการให้ก้าวหน้าทั้งทุนก็เพิ่มมากขึ้น พฤติการณ์ถือไม่ได้ว่าที่จำเลยเลิกห้างหุ้นส่วนเดิมแล้วตั้งบริษัทขึ้นใหม่แทนนั้น จำเลยมีเจตนาเพื่อมิให้โจทก์เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share