คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญาหาว่าโจทก์ปลอมและใช้เอกสารสัญญกู้ ขอให้ลงโทษนั้น แม้จำเลยจะถอนฟ้องคดีอาญาเสียระหว่างไต่สวนมูลฟ้องก่อนศาลสั่งประทับฟ้องก็ดี หากข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่จำเลยกล่าวหาโจทก์เป็นฟ้องเท็จแล้ว จำเลยก็ย่อมมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175, 176

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ ๒๔ เมษายน ๒๕๐๖ จำเลยเอาความอันเป็นเท็จฟ้องต่อศาลจังหวัดลำพูนว่า โจทก์บังอาจว่ากับพวกทำเอกสารปลอมขึ้น ๒ ฉบับใจความว่า จำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์ไป ๗,๐๐๐ บาท เมื่อ ๑๒ เมษายน ๒๔๙๙ ฉบับหนึ่ง อีกฉบับหนึ่งกู้ ๕๐๐ บาท เมื่อ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๐๐ และปลอมลายมือจำเลยลงในช่องผู้กู้ทั้งสองฉบับ ครั้นเมื่อวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๐๖ เวลา กลางวัน โจทก์อ้างเอกสารปลอมทั้งสองฉบับนี้เป็นพยานต่อศาลในคดีอาญาเลขดำ ที่ ๒๕/๒๕๐๖ ซึ่งเป็นฟ้องเท็จทั้งสิ้น ความจริงจำเลยกู้เงินโจทก์ตามเอกสารกู้ ๒ ฉบับนั้นจริง เหตุเกิดที่ศาลจังหวัดลำพูน ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๕ ศาลชั้นต้นได้สวนมูลฟ้องแล้ว สั่งรับประทับฟ้อง จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยฟ้องเท็จ พิพากษาว่า จำเลยผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๕ แต่จำเลยลุแก่โทษต่อศาล คือ ถอนฟ้องเสียก่อนศาลพิพากษา ต้องตามมาตรา ๑๗๖ ให้จำคุก ๒ เดือน ปรับ ๓๐๐ บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าฟ้องโจทก์สมบูรณ์ แต่ไม่มีข้อเท็จจริงที่จะแสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตานาแกล้งเอาความเท็จมาฟ้องโจทก์ ไม่พอลงโทษจำเลย พิพากษากลับ ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยได้กู้เงินโจทก์ไป ๒ ครั้งจริง หาใช่โจทก์ทำปลอมขึ้นไม่ เมื่อเป็นเช่นนี้ จำเลยมาฟ้องโจทก์หาว่าปลอมสัญญากู้จึงเป็นฟ้องเท็จ ฉะนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ว่าไม่มีข้อเท็จจริงที่จะแสดงว่าจำเลยฟ้องเท็จนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย แต่คดีที่จำเลยฟ้องเท็จต่อโจทก์นั้น ปรากฏว่าจำเลยได้ถอนฟ้องไปในระหว่างไต่สวนมูลฟ้อง ก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งประทับฟ้อง ปัญหาว่าจำเลยจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๕ หรือไม่
พิจารณาประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๕, ๑๗๖ แล้วจะเห็นได้ว่าไม่มีข้อความบัญญัติไว้เลยว่า การถอนฟ้องคดีอาญาระหว่างไต่สวนมูลฟ้องก่อนศาลสั่งประทับฟ้องจะไม่เป็นความผิดตามมาตรา ๑๗๕ เป็นแต่มาตรา ๑๗๖ บรรเทาโทษไว้ว่า การฟ้องผู้อื่นเป็นคดีอาญาด้วยความเท็จนั้น ถ้าขอถอนฟ้องหรือแก้ฟ้องให้ตรงกับความจริงก่อนศาลมีคำพิพากษาแล้ว ศาลจะลงโทษน้องกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ หรือจะไม่ลงโทษเลยก็ได้เท่านั้น แต่กฎหมายไม่ได้บัญญัติยกเว้นว่า การกระทำนั้นจะไม่เป็นความผิด ฉะนั้น จำเลยจึงยังมีความผิดตามมาตรา ๑๗๕ อยู่ แต่ปรากฏว่าจำเลยได้ลุแก่โทษต่อศาลโดยขอถอนฟ้อง ก่อนศาลมีคำพิพากษา ควรได้รับการบรรเทาโทษมาตรา ๑๗๖ กฎหมายหาได้บัญญัติว่า การถอนฟ้องในคดีเช่นนี้ต้องมิใช่เพราะผู้กระทำผิดจำนนต่อพยานหลักฐานจึงจะได้รับการบรรเทาโทษไม่ ฉะนั้น ตามที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยไม่มีสิทธิที่จะได้รับบรรเทาโทษเพราะจำนนแก่พยานจึงฟังไม่ขึ้น
นอกจากจำเลยลุแก่โทษต่อศาลแล้ว ยังปรากฏว่าจำเลยอายุ ๖๘ ปี ต้องจำคุกมากกว่า ๔๕ วัน เห็นว่าจำเลยรับโทษมาพอสมควรแก่ความผิดแล้ว
พิพากษากลับ จำคุก ๔๕ วัน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๗๕ ประกอบมาตรา ๑๗๖ แต่จำเลยต้องถูกจำคุกมาพอแก่โทษแล้ว ให้ปล่อยตัวจำเลยไป

Share